ตกภวังค์จริงหรือ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ไปตอบปัญหาเขาเยอะมาก ตอนนี้ปัญหาถามกลับมานะ จิตเดิมแท้... ผู้รู้... โอ้โฮ! ถามกันใหญ่เลยว่ามันจะเป็นอย่างไร ฉะนั้นในกรณีอย่างนี้ คนไม่ปฏิบัติมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ ถ้าคนปฏิบัติไปแล้ว ปฏิบัติเริ่มต้น เรื่องอย่างนี้มันยังเข้าไม่ถึงหรอก
เวลาหลวงตาท่านมาที่โพธาราม เห็นไหม สังเกตบ่อย หลวงตาท่านพูดถึงจิตรวมใหญ่ ใครไม่เคยรวมใหญ่ไม่รู้หรอก ทำอย่างไรก็ไม่รู้หรอก ทีนี้เรามีแต่ทางวิชาการกัน วิชาการเราศึกษากันไป มันตีความมาเป็นทางปรัชญา มันคาดหมายกับดีกว่านะ ดีกว่าตรงที่ว่ามันเป็นจินตนาการ เวลาเราพูดนะ โอ่... มันเข้าใจกันได้
สังเกตได้ไหม หนังสือตามตำราที่เขาซื้อมาอ่านกัน เขาจะอ่านแล้วมีความดูดดื่ม อ่านแล้วมีความชื่นใจต่างๆ มีความเข้าใจ อ่านแล้วมีความเข้าใจ แต่พอมาอ่านหนังสือของครูบาอาจารย์ อ่านแล้วไม่เข้าใจ เพราะว่าความหมายที่ออกมาจากความจริง มันธรรมเหนือโลก แต่ของเราอ่านแล้วเข้าใจๆ เป็นเรื่องโลกทั้งนั้นนะ ถ้าให้เราพูด เราจะบอกว่านิยายธรรมะ มันเป็นนิยาย เห็นไหม ?
ความเข้าใจอธิบายออกมานะ มันเป็นสามัญสำนึกของมนุษย์ ดูสิ เราไปอ่านหนังสือทางวิชาการ ส่วนใหญ่หนังสือวิชาการนี่ เขาไปทำงานแล้วประสบความสำเร็จ แล้วเขาจะมาเขียนตำราบอกไว้ให้พวกเราเป็นการฝึกสติปัญญา
สติปัญญาอย่างนี้มันอ่านแล้วมันเข้าใจได้ ถ้าอ่านเข้าใจได้ สิ่งนี้มันเข้าใจได้ แต่เวลาประพฤติปฏิบัติเข้าไป มันเป็นการประพฤติปฏิบัติที่จิตมันเข้าไปรู้ไปเห็น อย่างที่ว่าจิตเดิมแท้ ผู้รู้ มันแตกต่างกันอย่างไร สมาธิมันแตกต่างกันอย่างไร ทั้งๆ ที่มา มันมาจากจิตหมด มันมาจากปฏิสนธิจิต เพราะมาจากปฏิสนธิจิตแล้ว สิ่งที่ปฏิสนธิจิตมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว
พอเกิดเป็นมนุษย์แล้ว มันเกิดจากอำนาจกรรม กรรมดีกรรมชั่ว พอเราเกิดจากอำนาจกรรม บุคคลทั่วไปเห็นไหม ทำดี ทำชั่วต่างๆ บุญบาปไม่มี เพราะคนนั้นทำความชั่วไม่เห็นบาปตอบสนองเลย คนนั้นทำความดี วิริยะอุตสาหะมหาศาลเลย ทำไมคนนั้นไม่ได้ความดี เห็นไหม เพราะเราศึกษาโดยวิทยาศาสตร์ ศึกษาโดยข้อเท็จจริงที่ว่า ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว
แน่นอน เราเน้นย้ำตรงนี้มากเลย แล้วเราเชื่อมั่นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เชื่อมั่นมาก ที่นี้ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถ้าเราปฏิบัติในปัจจุบันนี้ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มันดีจริงตามข้อเท็จจริงที่จิตมันเป็นเลย แต่ถ้าผลดีผลชั่วของวัฏฏะ ผลของวัฏฏะคือการเกิดไง
พอการเกิดขึ้นมาใช่ไหม โอ่... คนนี้เป็นคนดีมากเลย ทำความดีมหาศาลเลย ทำไมเขาไม่ประสบความสำเร็จ ทำไมเขามีแต่อุปสรรคทั้งหมดเลย กรรมดีกรรมชั่ว กรรมนี้เป็นอจินไตย คำว่าเป็นอจินไตย อดีตชาติ อดีตต่างๆ ที่ทำมาเห็นไหม นี้เวลาทำสิ่งนั้นมา กรรมเก่ากรรมใหม่ พอกรรมเก่ามันส่งผลตอบสนองมา
ดูสิ หลวงตาท่านพูดบ่อย ?_ _ _ ที่ว่าเวลาตกนรกไป สมัยพุทธกาลเขาเป็นเศรษฐี เป็นมหาเศรษฐีเลย เขาเอาเงินของเขาเที่ยวหาความสุขกับลูกเมียของคนอื่น เวลาที่เขาตายไป เพราะอะไร เพราะไปทำร้ายจิตใจ ทำร้ายครอบครัวคนอื่น ตกนรกอเวจีเห็นไหม หมุนเข้าไป ๔๐,๐๐๐ปี... มันเข็ดไง... เลยบอกว่าจะไม่ทำอีกแล้ว...เมื่อไหร่จะพ้นจากทุกข์นี้... จะไม่ทำอีกแล้ว... ถ้าพ้นออกไปแล้ว จะทำบุญทำกุศล
นี่เวลาที่เขาใช้ชีวิตของเขาด้วยความคิดของเขา นี่ไง เขาทำชั่ว เขาทำลายครอบครัวคนอื่น เขามีเงิน เขาเอาเงินซื้อได้ทุกๆ อย่างเลย คนอื่นเดือดร้อนไปหมดเลย แล้วทำไมผลกรรมมันไม่ให้ผลกรรมสักที ทำไมเขาอยู่มาได้ สุดท้ายเขาตาย พอเวลาเขาตายนี้มันให้ผล เวลาพอตกนรกอเวจี เขาเข็ดหลาบเห็นไหม พอเขาเข็ดหลาบ เขาบอกถ้าเขาเกิดได้อีก เขาจะทำคุณงามความดี
ดูสิ เทวทัตนะ เวลากิเลส เวลาทิฐิมานะเกิด จะปกครองสงฆ์ จะทำการแทนพระพุทธเจ้า จะทำลายทุกอย่างเลย นี่พอสุดท้ายเวลาใกล้จะตายสำนึกผิด สำนึกได้ พอสำนึกได้จะมาขอขมาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกมาไม่ได้หรอก เพราะทำความชั่วไว้มาก พอมาไม่ได้ พอมาจะถึงวัดพระเชตวัน ไม่ถึงหรอก พระพุทธเจ้าบอกมาอย่างไรก็ไม่ถึง เพราะเขาทำความชั่วไว้มาก แต่เวลาเขามาถึงแล้วนะ ด้วยใจมันยอมรับแล้ว มันรู้สำนึกถูกผิดแล้ว พอรู้สำนึกถูกผิดแล้ว จะลงจากแคร่เพื่อเคารพ จะไม่เข้ามาใกล้ จะไม่นั่งบนแคร่ไง พอลงจากแคร่ถึงดินธรณีสูบเลย พอสูบมันลากร่างกายลงไปจนถึงคาง
เราจะบอกว่า _ _ _ พอเขาเข็ดหลาบ เขาบอกว่า ถ้าเขาเกิดได้แล้วเขาจะไม่ทำอย่างนี้อีกเลย เขาจะทำคุณงามความดีตลอด
แต่เทวทัตสำนึกผิด พอสำนึกผิดถวายขากรรไกรกับพระพุทธเจ้า ถวายอย่างนี้เราคิดว่ามันเป็นของเล็กน้อยไง แต่ไอ้ค่าน้ำใจที่จะถวายสิ ความสำนึกผิดชอบชั่วดีที่มันเป็นเรื่องของใจ พอมาเห็นไหม เทวทัตลงนรกอเวจี เพราะสิ่งที่ทำแล้ว มีการกระทำ มีเหตุ มีผล มีปัจจัย มันมีวิบาก มันต้องลงนรกอเวจี พ้นจากนรกอเวจีขึ้นมาจะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
นี่สิ่งต่างๆ เราจะเห็นว่าคนทำคุณงามความดี ทำไมทำความดีแล้วมันไม่เห็นได้ดีเลย ทำไมคนทำชั่ว... เรามองเป็นวิทยาศาสตร์ เรามองว่ากรรมดีกรรมชั่วมันเกิดตั้งแต่เกิดจากท้องแม่ไง เราไม่มองกรรมดีกรรมชั่วที่เขาทำมาตั้งแต่อดีตชาติ ทำดีทำชั่วที่เขาทำมาล่ะ เพราะกรรมดีมหาศาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธจ้า ถึงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เพราะอะไร เพราะปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาคุณงามความดี สร้างๆๆๆๆๆ สร้างมาตลอด เห็นไหม ขนาดสร้างมาตลอด เทวทัตก็ตาม ชูชกก็ตามมาทำลายตลอด
ฉะนั้นทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ในปัจจุบันที่ว่ามันทำแล้วไม่ได้ผล ทำแล้วทำไมมันไม่ได้ผลล่ะ มันไม่ได้ผล เพราะ
๑.กรรมเก่ากรรมใหม่
๒.ธรรมนี่กาลเทศะ
แต่ถ้าภาษากรรมดีกรรมชั่วที่เรายืนยันตลอดเห็นไหม นั่งสมาธิทำความเห็นของเรา กรรมดีกรรมชั่ว มันพิสูจน์กันต่อหน้านี่ ถ้าเราทำด้วยความตั้งใจ จะทำคุณงามความดี จิตมันสงบได้ ถ้าจิตมันสงบได้ ถ้าจิตมีปัญญาได้ จิตมันยังชำระกิเลสได้ มันเห็นชัดๆ ถ้ามันชำระกิเลสได้ อันนี้สุดยอดของความดีเลย
สุดยอดความดีเพราะเหตุใด เพราะมันจะรู้จักตัวเองเห็นไหม เวลาเรามีปัญหากับโลก โลกมีปัญหามาก เวลามีความทุกข์ร้อนไปกับโลก เรามีความทุกข์ร้อนไปหมดเลย เราแบกรับภาระไปหมดเลย แล้วเราแก้ที่ไหน ไปแบกโลก ไปแก้ไขข้างนอก มันแก้ไม่จบ
แต่ถ้าพูดถึงเรามีสติปัญญา มาแก้ไขที่เราเห็นไหม ถ้ามาแก้ไขที่เรา จบที่เราแล้วนี่ โลกร่มเย็นเป็นสุข เราก็มีความสุข เราก็มีความพอใจด้วย โลกเขาจะมีความเร่าร้อนขนาดไหน โลกเขาจะมีการเปลี่ยนแปลงขนาดไหน หัวใจนี้มันพ้นแล้ว หัวใจนี้มันชำระแล้ว คือเอาชนะตนเองสำคัญที่สุด เอาชนะเราได้สำคัญที่สุด ถ้าเอาชนะเราแล้ว ใครมันจะมาทำลายเรา ใครจะมาตัดทอน ใครจะมาเพิ่มสิ่งใดๆ ในหัวใจเรา ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้เลย
นี่ถึงว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วประเสริฐที่สุด ฉะนั้นพอทำเข้าไป สิ่งที่มันทำเป็นความจริง ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ คนที่จะภาวนา คนที่จะชำระกิเลส คนที่ภาวนาที่เข้ามา มันจะรู้จักสิ่งที่เป็นสมาธิ สิ่งที่จิตตั้งมั่น สิ่งที่จิตเป็นอิสรภาพชั่วคราวจากสัญญาอารมณ์ แล้วเวลามันพิจารณาของมันเข้ามาเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป เห็นไหม เป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี ก็ยังไม่เห็นจริงตามที่ว่าจิตเดิมแท้ ที่ว่าจิตเป็นอย่างไร ผู้รู้เป็นอย่างไร
เพราะการชำระเข้ามา มันเป็นการทำงานเข้ามาเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา เพราะจิตมันหดสั้นเข้ามา หดสั้นเข้ามา จนถึงที่สุด พอถึงที่สุดถ้าจิตเห็นจิต จิตไปจับตัวจิตได้ พอจับตัวจิตได้ นี่ไง คำว่าจิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้เป็นอย่างไร ผู้รู้เป็นอย่างไร เพราะตัวผู้รู้ อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจิง สูติ อาสวะสิ้นไป สิ้นไปจากไหน สิ้นไปจากจิต ทำลายอาสวะ เพราะอาสวะกับจิตมันจะอยู่ด้วยกัน พอทำลายอาสวะด้วย มันก็ทำลายจิตด้วย อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจิง สูติ
อาสเวหิเห็นไหม ทำลายหมดแล้ว อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจิง สูติ พอมันวิมุตติไปแล้ว นี่ไง พอวิมุตติไปมันจึงจะเห็นว่า วิญญาณ จิตวิญญาณ ปฏิสนธิจิต ไอ้ที่ทำๆ กันอยู่นี้มันไม่เห็นปฏิสนธิจิต เพราะเหตุใด พระอนาคามียังไปเกิดเป็นพรหมใช่ไหม พอพระอนาคามีตาย จิตนี้ก็ไปเกิดเป็นพรหม เพราะพระอนาคามียังไม่ใช่จิตเดิมแท้ไง
ไอ้จิตที่ว่าตัวเล็กตัวน้อย ตัวจิตมันเป็นอย่างไร ตัวจิตเห็นไหม เป็นสัตว์เล็กสัตว์น้อย มันเป็นจิตไหม ครบบริบูรณ์ ถ้าไม่ครบบริบูรณ์ ไม่มีภพชาติไง มันยังยืนยันภพชาติ ชาติของสัตว์ สัตว์ตัวเล็กตัวน้อย จะเป็นแมลงมันก็เป็นภพชาติใช่ไหม เป็นชาติหนึ่งไหม? เป็น ถ้าเป็นชาติหนึ่ง ใครมาเสวยชาตินั้น จิตดวงใดมาเสวยชาตินั้น จิตดวงนั้นมันมาเสวย
พระโพธิสัตว์เห็นไหม พระพุทธเจ้าไม่เกิดเล็กกว่านกแขกเต้า ถ้าอย่างพวกเรา ดูสิ ดูพระที่ว่าติดในจีวรเห็นไหม ไปเกิดเป็นเลน เลนตัวเล็กหรือตัวใหญ่ จากมนุษย์นี่ไปเกิดเป็นเลน ถ้าเป็นเลนเป็นสัตว์ นี่ไง สิ่งเกิด จิตตัวเล็กตัวน้อย ถ้าเราเห็นเราเข้าใจอย่างนั้น เราจะเคารพไง
จิตหนึ่งเป็นได้ทุกๆ อย่าง จิตหนึ่งเวลาไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เรามองไม่เห็นเลย สิ่งต่างๆ ที่มันหมุนเวียนไปนะ ฉะนั้นถ้าจิตหนึ่งอย่างนั้น ถ้าเรา แก้ไขของเราได้ เราจะไม่เวียนไปอีก แก้ไขไม่ได้นะ มันจะไปของมันเรื่อยๆ ถ้าไปของมันเรื่อยๆ ตามแรงบุญแรงกรรม
คำว่าแรงบุญแรงกรรม มันจะเกิดภพชาติใด มนุษย์สมบัติ เวลาเกิดเป็นมนุษย์ ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม ทำไมไปเกิดเป็นเทวดา ถ้าการไปเกิดเป็นเทวดาเห็นไหม มนุสสเทโว มันเป็นเทวดาตั้งแต่เป็นมนุษย์ไง เพราะคำว่าเป็นเทวดาตั้งแต่เป็นมนุษย์ เพราะจิตใจเป็นธรรม จิตใจที่เสียสละเห็นไหม เวลาเกิดไปเกิดเป็นเทวดา เพราะว่าเขาเป็น เขาพร้อม นี่ไงกรรม กรรมดีมันก็เกิดดี
แล้วกรรมชั่วล่ะ มนุสสเดรัจฉานโน มันทำแต่ทำลายเขา มันเกิดอยู่แล้ว เราจะบอกว่ามนุษย์สมบัติไง เราเกิดมานี่มนุษย์สมบัติ คำว่ามนุษย์สมบัติมันมีเหตุกับจิตดวงนั้น จิตดวงนั้นกับเหตุสมควรแล้ว มันจะไปเกิดเป็นภพชาติอย่างนั้นๆๆ โดยที่ว่าไม่อยู่ในอำนาจของใคร มันอยู่ที่เหตุเห็นไหม เราสร้างเหตุได้อย่างไร มันจะไปเกิดในสถานะอย่างนั้นๆ นี่พูดถึงการเกิดนะ การเกิดที่จิตมันจะเป็นไป แล้วถ้าเรามีหลักมีเกณฑ์ของเรา เราจะไม่เกิดอีกเลย
ถ้าเราจะไม่เกิดอีกเลย เราต้องมีสติปัญญา ถ้าเราไม่เกิดนะ เราจะเข้ามาชำระล้างให้มันสะอาดบริสุทธิ์ ถ้ามันสะอาดบริสุทธิ์แล้วมันไม่มีแรงขับ แรงกรรม เกิดตามอำนาจของกรรม ถ้ามันไม่มีแรงขับอันนี้ แล้วมันจะไม่เกิดอีกไหม ถ้ามันไม่เกิดอีก ทุกคนไม่อยากได้ ไปเกิดอีกไม่มีสิ่งใดเลย ไม่เกิดอีกมันต้องไม่เกิดโดยข้อเท็จจริงนะ ไอ้คำว่าเราปฏิเสธจะไม่เกิดอีก คนนั้นบอกชาติสุดท้าย ชาติสุดท้าย ชาติสุดท้ายของชาติหน้าไหม ชาติสุดท้ายของต่อๆ ไปไหม ชาติสุดท้ายของเอ็งนี่มันเป็นคำพูดไง แล้วเป็นจริงหรือเปล่า เอ็งไม่เกิดๆ จริงหรือเปล่า มันเป็นไปไม่ได้หรอก
แต่ถ้ามันเป็นความจริง มันรู้กับใจดวงนั้น ถ้ามันรู้กับใจดวงนั้น มันจะเข้าใจตรงนี้หมด เข้าใจที่ว่าจิตมันเป็นอย่างไร มันต้องเห็นสภาวะของมัน จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้น เป็นผู้ทำลายตัวมันไง มันต้องมีการกระทำของมันในตัวของมัน มันจึงจะข้ามพ้นได้ ถ้าไม่มีการกระทำของมันจะข้ามพ้นได้อย่างไร แล้วตัวมันทำอย่างไร ถ้าตัวมันทำจนทำได้สิ้นสุดแล้วมันก็จบ
พอจบแล้ว นี่ไง ครูบาอาจารย์ท่านพูดอยู่ เวลาเราสิ้นกิเลสไปแล้ว จิตนี้เป็นอิสระมาก พออิสระมาก มันไปได้เต็มที่ของมัน มันจะรู้แจ้งของมันทั้งหมด แต่ถ้าของเรามีการครอบงำไว้โดยอวิชชา เรารู้ได้โดยภพชาติที่เรารู้เราเห็นเท่านั้นแหละ แต่ถ้าเวลามันพ้นออกไป เราเคยผ่านเห็นไหม จิตนี้มันกว้างใหญ่ มันมีอิสรภาพมาก มันเข้าใจสภาวะตามความเป็นจริงหมด อันนี้เป็นผลของวัฏฏะ เพราะวัฏฏะมันมีอยู่แล้ว
สิ่งต่างๆ มีอยู่แล้ว เพราะเรามีพุทธศาสนา เราถึงได้ฟังธรรมอย่างนี้ แล้วเรามีความเชื่อมั่นของเราอย่างนี้ เราจะแก้ไขของเรา เพื่อประโยชน์กับเรานะ แต่ถ้าเราแก้ไขของเราไม่ได้ เห็นไหม คำว่าแก้ไขนะ เราต้องตั้งสติ แล้วกลับมาแก้ของเราเอง ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สาธุนะ นี่ปูนหมายป้ายทาง
คำว่าปูนหมายป้ายทาง มันเป็นการชี้นำทาง แล้วถ้าเราไม่เดิน เราไม่ปฏิบัติ เครื่องชี้ ก็ชี้อยู่นั่น ดูลูกศรชี้ทางสิ เห็นไหมเขาชี้ไปทางไหน ถ้าเราไม่เดินไปตามนั้น เราจะไปถึงเป้าหมายนั้นไหม นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติตามความเป็นจริงขึ้นมา เราจะถึงเป้าหมายนั้นไหม ฉะนั้นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นปูนหมายป้ายทางชี้นำเรา
การว่าชี้นำเรานะ แต่ในการปฏิบัติมันต้องเกิดขึ้นมาจากเรา เกิดที่การกระทำของเรา นี้ไปเอาเครื่องชี้นั้นเป็นความจริง แล้วเราจะทำอย่างไรก็แล้วแต่ตามใจของเรา ตามใจของเราหมายถึงว่า มันจินตนาการเอาเอง นี่เวลาปฏิบัติมันจะจินตนาการเอาเอง ว่าความนี้เป็นสมาธิ สิ่งที่เราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น สมาธิเราก็ไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็น พอจิตมันเป็นสัญญาอารมณ์ เราว่าอย่างนี้เป็นสมาธิ อย่างนี้เป็นปัญญา เพราะอะไร เพราะเราศึกษาของเรามาแล้ว มันไม่เป็นความจริงหรอก
แต่ถ้าเราทิ้งหมดเลย ล้มโต๊ะ ความรู้ความเห็นนี่ล้มโต๊ะเลย เวลาศึกษาๆ มา แต่เวลาปฏิบัติล้มโต๊ะเลย แล้วถ้ามันเกิดขึ้นมาเห็นไหม มันสร้างขึ้นมา สร้างโต๊ะขึ้นมา สร้างที่อยู่อาศัยของมันขึ้นมาตามความเป็นจริง เราทำเองนะ ล้มโต๊ะ โต๊ะนี้เป็นที่สาธารณะ เป็นสิ่งที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ แต่ถ้าไม่มีสิ่งใดเลย ถ้าเราปฏิบัติของเราขึ้นมาล่ะ สติก็เป็นสติของเรา สมาธิก็เป็นสมาธิของเรา ปัญญาก็เป็นปัญญาของเรา ถ้ามันเป็นความจริงนะ มันจะมหัศจรรย์มาก เราจะเข้าใจของเรา เราจะรู้ของเรา มันเป็นปัจจัตตัง
นี่ที่บอกว่า ถ้าเอาชนะตนเองได้ ถ้าเราควบคุมใจของเราได้ ใครมันจะเข้ามาขัดแย้งในใจของเรา ใครจะมาให้ค่าหรือตัดค่าคะแนนในหัวใจของเรา มันเป็นไปไม่ได้เลย แต่ขณะที่เราไม่มีของเราเท่านั้นเอง เราบกพร่องของเราเอง แล้วแรงปรารถนา เราอยากได้อยากเป็น อยากให้มันเป็นสมเป้าหมายของเรา เราไปให้ค่าเอง เราไปปฏิบัติของเราเอง มันจะไม่เป็นความจริงอย่างนั้นหรอก
แต่ถ้าการปฏิบัติของเรามันเป็นไปตามข้อเท็จจริง มันสมบูรณ์แบบนะ ถ้ามันสมบูรณ์แบบ จิตมันจะพัฒนา มันจะเป็นความจริง นี่พูดถึงจิต แล้วเวลาเกิดมันยังจะมหัศจรรย์นะ
การกำเนิดของจิตมีอยู่ ๔ อย่าง เป็นโอปปาติกะ เกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม เกิดแล้วใหญ่เลย เกิดในครรภ์ เกิดในน้ำคร่ำ นี้การเกิดในน้ำคร่ำ เกิดเป็นสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่ไปเกิดในน้ำคร่ำ ดูสิ เชื้อโรคต่างๆ ก็ไปเกิดในน้ำคร่ำ เกิดในครรภ์ เกิดในไข่ เกิดเป็นโอปปาติกะ แล้วพอย้อนกลับมาที่อาหาร อาหาร ๔ ของการกำเนิดในวัฏฏะเห็นไหม นี่คำข้าว กวฬิงกวราหารเป็นคำข้าว ผัสสาหาร วิญญาณาหาร มโนสัญเจตนาหาร อาหารมันแตกต่าง
การกำเนิดของจิต พระพุทธเจ้าพูดไว้หมดเพราะอะไร เพราะถ้ามันเข้าใจจิตแล้ว มันจะเข้าใจเรื่องนี้หมด แล้วพอมันเข้าใจเรื่องนี้หมดแล้ว มันเห็นได้หมด แต่เห็นแล้วก็เห็นโดยจิต โดยการกระทำของตัว แต่เวลามันอธิบายตามความเข้าใจอันนั้น ให้ผู้อื่นเห็นอย่างนั้น มันก็ต้องไม่มีความลังเลสงสัย จิตมันทะลุเข้าไปเห็นด้วยกันเหมือนกันหมด มันก็จบไง ถ้ามันไม่เห็นด้วยเหมือนกันหมดมันก็ไม่จบตามความจริงของมัน ฉะนั้นนี้พูดถึงผลของวัฏฏะ แต่พูดจริงๆ แล้วนะ จิตหนึ่งเดียว สิ่งที่เป็นไปมันเป็นไปอย่างนั้น ฉะนั้นเป็นไปอย่างนั้น
ดูสิ เวลาเกิดตายๆ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม ไม่มีต้นไม่มีปลาย แล้วอย่างเรานี่อยู่ ๑๐๐ ปี ถ้าคิดถึงว่าจิตหนึ่ง จิต ๒ ดวงไปด้วยกัน จิตหนึ่งเกิดเป็นมนุษย์นี่ ๑๐๐ ปี จิตอีกดวงมันไปเกิดเป็นสัตว์ เกิดเป็นแมลงต่างๆ คิดดูสิว่ามันเป็นร้อยๆ ชาติเลยนะ กับเราชาติเดียว คิดดูสิ เราเกิดเป็นแมลง แมลงอายุ ๗ วัน ๗ วัน เท่ากับชาติหนึ่งๆๆ นี่ กับชาติหนึ่ง ๑๐๐ ปีนี่
ฉะนั้นเวลาเราพูดถึง แหม! รักกันมากนะ ขอให้พบกันทุกชาติๆ แล้วมันเกิดกันคนละภพอย่างนี้ ทุกชาติๆ มันเป็นอย่างไร ฉะนั้นเวลารักกันชอบกัน เวลาอุทิศส่วนกุศลให้กัน ก็อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร เพราะการเกิดกำเนิดของเรา ใครทำผิดพลาดไว้อย่างไร มันจะผิดพลาดไป แล้วถ้ามันเป็นความดีมา มันสมความปรารถนา ถ้าจิตใจมันสมควรต่อกัน มันก็จะมาพบมาเห็นกัน มันจะบอกว่ามันมีเวรกรรมมหาศาล
ถึงบอกว่าสิ่งที่เราอุทิศส่วนกุศลต่อกัน เราขอขมาต่อกัน สิ่งนี้มันจะเข้ามา เพราะจิตดวงนั้นก็คือจิตดวงนั้น เราเคยสัมผัสกันมาใช่ไหม เราเคยเป็นญาติ เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นต่างๆ กันมา ไม่ภพชาติใดก็ภพชาติหนึ่ง จะไม่มีดวงจิตดวงใดเลยที่จะไม่เคยเป็นญาติเป็นพี่น้องกันมา เพราะอะไร เพราะการเกิดการตาย
ดูสถานะเห็นไหม โลกนี้คือละคร เกิดมาเป็นคน แล้วเวลาจิตตายไป จิตมันเกิดไปต่างๆ พอมันเกิดต่างๆ เกิดมาเป็นคน เขาบอกจิตดวงหนึ่งนะ เวลาเกิดเป็นคน จิตดวงหนึ่งนี้ทำความดีไว้มาก เกิดเป็นคนมาตลอดเลย ๑๐๐ ชาติก็ ๑๐๐ ศพ ๑,๐๐๐ ชาติก็ ๑,๐๐๐ ศพ นี่เขาบอกเอาศพ เอาร่างกายของคนที่เกิดของจิตดวงนี้ เจ้าของตัวเองนี้ เกิดตายๆๆๆๆ เอามาซับๆๆๆๆๆไว้นะ มันจะมากมายขนาดไหน นี่จิตดวงเดียวนี้
นี้พอจิตดวงเดียว ถ้าเราระลึกไม่ได้ เหมือนทางวิชาการเราเขียนไว้เอง แล้วเรามาศึกษาเองนะ เรานี่มาศึกษากันเอง เอ๊ะ! อันนี้ทำไมมันคุ้นๆ วะ ก็กูเคยเขียนไว้ชาติที่แล้วไง แล้วชาตินี้กูก็มาเรียนของกูนี่ไง แต่ไม่มีใครรู้หรอก ตัวเองก็ไม่รู้นะ ตัวเองไม่รู้หรอก แต่ถ้าปฏิบัติไป ถ้าของอย่างนี้ ใครรู้ใครเห็นได้ ถ้าใครรู้ใครเห็นได้โดยสัมมาทิฏฐิ โดยความถูกต้องเป็นจริงนะ เขาจะเกิดความสังเวช แล้วเราจะไม่ออกมาพูดเป็นวิทยาศาสตร์แบบโลกไง ว่าเราเคยเป็นอย่างนั้น อันนั้นเป็นสมบัติของเรา ไม่มีใครเชื่อเราหรอก
ถ้าเราเป็นคนรู้จริงนะ นี่เขาจะเก็บไว้ในใจลึกๆ จะคุยต่อเมื่อเป็นประโยชน์กับลูกศิษย์ลูกหาเท่านั้น เขาไม่เอามาพูดกันหรอก ไอ้คนที่เอามาพูด ป้าง ป้าง ป้าง ไม่รู้อะไรเลย
ดูสิ อย่างเช่นปัจจุบันนี้นะ เราได้ยินมาบ่อยมากเลยทั้งพระทั้งโยม อดีตชาติเป็นพระเจ้าตาก ใครๆ ก็เป็นพระเจ้าตาก แล้วพระเจ้าตากนี่จิตหนึ่ง แล้วพระเจ้าตากใครถูกใครผิดวะ ใครๆ ก็พระเจ้าตากนะ ตามวัดนี่ไปดูสิ เราไปเราก็รู้แล้ว ถ้าวัดไหนขึ้นรูปไว้ชัดๆ ส่วนใหญ่เขาจะขึ้นรูปของเขากับรูปของพระเจ้าตากไว้คู่กัน เขาบอกเป็นนัยๆ ไง ไปดูก็เห็นแล้ว นี่ก็ ๑ ตากแล้วนะ ไปเจอวัดอื่น ๒ ตากแล้วนะ พระก็เป็น โยมก็เป็น อดีตชาติเป็นพระเจ้าตากๆ ใช่ อดีตเป็นพระเจ้าตากองค์หนึ่ง แต่พระเจ้าตากไปแล้วก็ไปเกิดเป็นอีกคนๆ หนึ่งเท่านั้น แล้วเวลาของพระเจ้าตากกับในปัจจุบันนี้ ๒๐๐ ปี นี่จิตนี้ ๒๐๐ ปี เวลาเกิดตาย เราต้องดูวันตาย พอวันตายแล้วนี่ไปเกิดเป็นใคร พอเกิดเสร็จแล้วไปเกิดเป็นหนึ่งเดียว แล้วนี่เป็นพระเจ้าตากกันไปหมด นี่ไง ไอ้คนที่พูดออกมาปาวๆๆ นั่นน่ะ มุสา โกหกมดเท็จทั้งนั้น
แต่ถ้าเป็นความจริงนะ เพราะความเป็นจริงจะบอกกับใคร บอกออกไปแล้วจะไปพิสูจน์อย่างไร ว่าไอ้ของคนอื่นมันเป็นตากปลอม เราเป็นตากจริง เอาอะไรมาพิสูจน์ ใครจะมาพิสูจน์?
แต่ถ้าของเรา เราจะแก้กิเลส เราจะชำระจิตของเรานะ ไอ้สิ่งนี้มันเป็นจริงไหม ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา พระเจ้าตากเป็นผู้กอบกู้ชาติ กอบกู้ชาติเสร็จแล้วมอบให้พุทธศาสนา เพื่อความมั่นคงของศาสนา สร้างบุญกุศลไว้มหาศาลขนาดนี้ ถ้าสร้างบุญกุศลมหาศาลนี่มันจะไปเสริมบารมีไง มาเสริมในการประพฤติปฏิบัติ เสริมเชาว์ปัญญา เสริมความต่างๆ ของคนที่พระเจ้าตากไปเกิดนั้น ถ้าปฏิบัตินะ เพราะอะไร
พระโพธิสัตว์เห็นไหม เวลาพระโพธิสัตว์สร้างคุณงามความดีไว้ คุณงามความดีมันจะตอบสนองกลับมา เพราะพระโพธิสัตว์เสียสละชีวิต เสียสละทุกๆ อย่างเลย มาเกิดเป็นพระพุทธเจ้า นี่พระเจ้าตากก็เสียสละทุกๆ อย่าง เป็นผู้นำ กู้ชาติ กู้ต่างๆ มันก็จะมาเสริมให้จิตดวงนั้นมันมีคุณค่า เสริมให้เชาว์ปัญญานั้นจะไม่ทำลายใครนะ จะเข้ามาทำลายกิเลสของตัว ถ้าเข้ามาทำลายกิเลสของตัว นี่ถ้าเป็นของจริง นี่ไงบารมีธรรมมันเป็นอย่างนี้ไง บารมีธรรมไม่ใช่มาอวดกัน มาควักเอาว่านี่เป็นพระเจ้าตาก ทุกคนต้องเชื่อฉันนะ... ฉันเป็นพระเจ้าตากนะ... หมามันก็ไม่เชื่อ... หมามันกระโดดกัดเอาด้วย มันบอกนี่ไม่รู้ตากไหน
นี่พูดถึงเวลาถ้าจิตมันเป็นสัมมาทิฏฐิ มันรู้เห็นของมันนี่นะ รู้เห็นของความเป็นจริงนี่ ครูบาอาจารย์ท่านผ่านมาแล้ว ท่านจะรู้เรื่องอย่างนี้ เพราะมันเป็นไปได้ คำว่าเป็นไปได้ เรานั่งกันอยู่นี่นะ เราจะดูถูกความคิดของคนอื่นได้ไหม ความคิดของแต่ละคน เขาก็มีปัญญาของเขาใช่ไหม?
จิตก็เหมือนกัน จิตของเขา จิตทุกดวงจิตมันเกิดมันตายมามาก พอมันเกิดมันตายมามากนี่ เพราะการเกิดและการตายในปัจจุบันนี้ เอาปัจจุบันนี้เป็นเกณฑ์ เราย้อนอดีตชาติไป ทุกๆๆๆ ที่นั่งอยู่นี้ มันมีเหมือนกันหมด พอมีเหมือนกันหมด เวลามันคือเวลา แต่มันเวียนตายเวียนเกิดกันมา พอเวียนตายเวียนเกิดมา มันก็สร้างบุญสร้างบาปมาทุกดวงใจ ทุกดวงใจที่เกิดมาสร้างมาหมด พอสร้างมาหมดมันก็มีบาปมีบุญมีกรรมอยู่ในใจดวงนั้น
พอใจดวงนั้นเห็นไหม นี่ภาวนามยปัญญา โลกุตตรธรรม เป็นปัญญาเกิดจากจิต ปัญญาทางโลก ปัญญาเกิดจากสมอง ปัญญาเกิดจากการศึกษา ศึกษาทางวิชาการ ศึกษาทางการวิจัย ศึกษาต่างๆ ศึกษาทางสมองทั้งหมด นี่คือปัญญาของโลก แต่ถ้าเวลาจะเกิดการภาวนาขึ้นนี่ มันจะเกิดปัญญาของจิต เพราะอะไร เพราะจิตนี่เป็นจิตหนึ่ง
จิตหนึ่งเวลาเกิดปัญญา เพราะจิตนี้เป็นกิเลส เวลาปัญญาที่เกิด มรรคญาณมันเกิดเห็นไหม อริยสัจมันเกิด มันเกิดที่จิต แล้วมันทำลายกิเลสเดี๋ยวนั้นเลย แต่ถ้ามันเป็นปัญญาของโลกเห็นไหม นี่ตัวจิต ตัวจิตคือตัวนามธรรมที่เป็นหัวใจ พลังงานนี้มันส่งออก คือพลังงานธรรมชาติมันจะกระจายตัวใช่ไหม พอจิตมันกระจายตัว พลังงานมันเกิดขึ้นมานี่ พลังงานนี้มันกระตุ้นอะไร มันกระตุ้นหัวใจ กระตุ้นสมอง กระตุ้นต่างๆ ให้ทำงานเห็นไหม
พอพลังงานมันเข้ามาถึงสมอง สมองได้พลังงาน สมองนี้มันเป็นสสาร พอสสารมันเป็นสมอง มันเป็นร่องของสมอง มันเป็นความคิดใช่ไหม พอมันเป็นความคิดปั๊บ เพราะพลังงานมันเกิดมาจากใจ พอเกิดจากสมอง สมองนี่บังคับร่างกายเห็นไหม สมองเป็นความจำ นี่สิ่งต่างๆ ปัญญาโลกเกิดตรงนี้ ถ้าปัญญาธรรมมันเกิดที่ใจนี้ พอมันเกิดที่ใจ เพราะจิตมันต้องสงบขึ้นมาก่อน
ฉะนั้นเราจะบอกว่า ถ้าเรานั่งกันอยู่นี่ ใครรู้บ้างว่าคนอื่นจะมีอำนาจวาสนามากน้อยแค่ไหน ถ้าเราไม่รู้ว่าจิตของคนอื่น ปัญญาความคิดของคน นั่งกันอยู่นี่ไม่รู้ว่าใครคิดอะไร ความคิดอันนี้ ความรับรู้อันนี้ มันอยู่ที่บุญกุศลที่สร้างมา ถ้าบุญกุศลที่สร้างมาเห็นไหม ความคิดคือความคิดที่ดี ความคิดเรามีจิตใจสาธารณะ ความคิดที่เพื่อประโยชน์สังคม
ดูสิ ในตระกูลของเราเห็นไหม มีความกตัญญู มีความเคารพพ่อแม่ มีความรักพี่รักน้อง นี่ไง ถ้าใจเป็นบุญ ถ้าใจมันเป็นบาปนะ มันบอก โอ้โหย คนนั้นก็ทำลายเรา คนนี้ก็ทำลายเรา นี่ไง แม้แต่เรานั่งอยู่ที่นี่ เราจะรู้ความคิดไม่ได้เลย ฉะนั้น พอจิตมันสงบเห็นไหม เราทำจิตสงบ พอจิตสงบข้อมูลอันนี้มันจะไปรู้ของมันไง
ถ้าจิตสงบ จิตของคนที่ไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ จิตสงบที่ดีขึ้น เห็นตามข้อเท็จจริง จิตของคนนะ มันไม่มีหลักมีเกณฑ์ จิตของคนที่อ่อนแอ วุฒิภาวะมันเหลวไหลมาก จิตมันพอเวลาภาวนาไป มันเกิดความนึก การคาด การหมาย มันจินตนาการ นี่ไง ตากปลอมไง พอมันตากปลอม มันก็...
เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูดนะในวงกรรมฐาน ท่านบอกอยากรู้วาระจิต พอจิตมันสงบไปเห็นอดีตชาติเป็นเหี้ย ลิ้นสองแฉกนี่ ออกมาจะกล้าบอกใครไหม อดีตชาติฉันเกิดเป็นเหี้ย มันก็จินตนาการของมันไปนั่นนะ เกิดหมดนะ สัตว์เห็นไหม ดูสิ ดูพระที่ไปเกิดเป็นเลนยังไปเกิด
ฉะนั้นถ้ามันเกิดอย่างนี้ สิ่งที่ไปเกิดแล้วมันได้สั่งสมมากน้อยแค่ไหน ถ้ามากน้อยแค่ไหน เวลามันรู้จริงของมันขึ้นมา จะเกิดเป็นสิ่งใดก็แล้วแต่ สิ่งที่เกิดนะเพราะบุญกรรมเราพาเกิด จะเกิดเป็นสิ่งใดมันเป็นเรื่องอดีตนะ เป็นเรื่องสิ่งที่เป็นผลของกรรม เป็นวิบาก ฉะนั้นพอเราเกิดมาดี สิ่งที่เกิดมาดีมันจะหนุนมาๆ นะ ถ้าหนุนต่อเนื่องถึงพระโพธิสัตว์ ถึงมาเกิดเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เกิดมาเป็นผู้ที่มีบุญญาธิการ ถ้ามีบุญญาธิการนะจะไม่ทำลายสิ่งใดทั้งสิ้น จะมีแต่คุณงามความดี
นี่พูดถึงเวลาถ้าจิตมันรู้จริง มันจะไม่พูดพล่ามๆ ไปหรอก รู้จริงเห็นจริง มันยิ่งรู้จริงมันยิ่งเห็นจริง มันยิ่งสังเวชนะ พอธรรมสังเวช มันสังเวชนะ เมื่ออดีตชาติเป็นอย่างนั้น แล้วชาตินี้เป็นอย่างนี้ แล้วมันยังตรากตรำกันไป เรายังต้องตรากตรำกันไป คือ ยังต้องเกิดไปข้างหน้าอีก
ฉะนั้นสิ่งนี้ในทางการประพฤติปฏิบัติ ในปัญญาชนเขาบอกพูดอย่างนี้ไม่ได้ การแก้ต้องไปอีกกี่อดีตชาติ แล้วในปัจจุบันก็ไปอนาคต อันนี้ไม่ใช่ อันนี้เป็นผลของวัฏฏะ อันนี้เป็นผลของกรรมเก่า กรรมเก่ามันจะพัฒนาขึ้นมาให้เรามีมุมมอง มีอำนาจ วาสนา พระพุทธเจ้าสอนในปัจจุบันนี้ แก้ไขที่ปัจจุบัน ไม่มีพระอรหันต์ที่บอกว่าจะชำระกิเลสมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว... แล้วชาตินี้จะเป็นพระอรหันต์... หรือพระอรหันต์จะไปชำระกิเลสเอาชาติหน้า ไม่มี! พระอรหันต์คือชำระกิเลสในชาติปัจจุบันนี้เท่านั้น!! แต่พูดถึงสภาวกรรม พูดถึงอำนาจวาสนาบารมี มันจะย้อนกลับมาว่าเวลาภาวนา เวลาปัจจุบันมันจะได้ผลหรือไม่ได้ผลอยู่ตรงนี้ไง
ฉะนั้นเวลาธรรมะอยู่ตรงนี้ เวลาเราปฏิบัติของเรา เราตั้งใจของเรา ทำไมเราทุกข์เรายาก เราไม่ได้ผล จะได้ผลหรือไม่ได้ผล หรือปฏิบัติแล้วมันจะมีเหตุปัจจัยอะไร มันก็เป็นเรื่องของกรรมเก่ากรรมใหม่ เราจะย้อนกลับมาในปัจจุบันนี้ ถ้าในปัจจุบันนี้จะบอกว่าเวลาจิตเราสงบ หรือเรามีปัญญาขึ้นมา มันเป็นธรรมเหนือโลกนะ
เราพูดกับใครแล้ว ครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติมาแล้ว ส่วนใหญ่แล้วนี่ท่านไม่ค่อยกล้าพูดกับโยมเท่าไร เพราะพูดออกไปเขาจะหาว่าเราบ้า ทั้งๆ ที่สติ มหาสตินะ มีมหาสติ สติครอบงำควบคุมจิตนี้ได้หมดเลย แล้วพัฒนาการของจิตเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา แต่ไม่กล้าพูดกับโยมนะ เพราะโยมก็เป็นสมมุติ เป็นเรื่องโลก
ถ้าพูดออกไปนะ เพราะอะไร นิยายธรรมะมันเยอะด้วยใช่ไหม พอพูดออกไปนี่เหมือนกันเลย เวลาพูดถึงนิยายธรรมะ พูดถึงจินตนาการก็เป็นเรื่องหนึ่ง แล้วคนปฏิบัติได้จริงมันก็จะเป็นอย่างนั้น รูปแบบมันคล้ายคลึงกัน แต่ไม่ใช่นิยาย ไม่ใช่เรื่องไม่จริง มันเป็นสัจจะ มันเป็นความจริงกับใจดวงนั้น แล้วใจดวงนั้นไม่มีหลักมีเกณฑ์ แล้วจะพูดออกมานะ เห็นไหมถึงมีสติ มีมหาสติว่าไม่อยากพูดกับโยม ไม่อยากพูดกับเขา เวลาพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมานะ เราจะสอนได้อย่างไร พูดออกไปนะ มันคนละเรื่องเดียวกัน มันคนละเรื่องกับโลก
แล้วพูดออกไปถ้าประสาเรานะ ถ้าพวกเราไม่เป็นชาวพุทธ เราไม่เชื่อมั่นว่าพระพุทธเจ้าพูดอย่างนี้นะ สงสัยพระพุทธเจ้าสติไม่ดี โน่นก็ไม่ใช่ของเรา นี่ก็ไม่ใช่ของเรา เอ๊! เอาพระพุทธเจ้าส่งโรงพยาบาลหรือเปล่านี่ แต่เพราะเรามีความเชื่อ เราเป็นชาวพุทธเราถึงได้เชื่อ นี่ไง ความรู้ความเห็นมันขัดแย้งกับโลกเห็นไหม
ฉะนั้นพอเป็นมหาสติ มหาสติมันควบคุมได้ขนาดนี้แล้ว แต่จะพูดกับโยมเขา จะพูดอย่างไร แต่เพราะพวกเรานี่เป็นชาวพุทธ และพวกเราเป็นลูกศิษย์พระป่า เพราะพระป่าเขาพูดอย่างไร อย่างเราพูดกับโยมนี่นะ โยมจะฟังเราด้วยความเข้าใจมาก
ถ้าเราไปพูดกับข้างนอกนะ พูดกับคนที่ไม่เคยฟังนะ พอบอกไปฟังเทศน์หลวงพ่อไหม พอไปฟัง นี่เทศน์จบแล้วนะ... หลวงพ่อเมื่อไรจะเทศน์ล่ะ? ทำไมหลวงพ่อไม่เทศน์สักที? เห็นนั่งพูดอยู่นี่ ไม่เทศน์สักทีเลย แล้วจะเทศน์เมื่อไรล่ะ? ก็ต้องขึ้นนะโม ตัสสะ ก่อนสิ โอ๊ย! นี่เห็นไหมถ้าคนฟังไม่เป็น ไม่เป็นเลยล่ะ ถ้าจะเทศน์นะ ต้องขึ้น นะโม ตัสสะ นะ โอย... ต้องอาราธนาธรรมก่อนนะ ถ้าไม่มีพิธีเขาก็ไม่ยอมรับแล้ว แต่พอพูดเป็นความจริงนี้ เมื่อไรจะเทศน์สักที ไม่เห็นจะเทศน์เลย เวลาพูดความจริง พูดสัจจะ มันบอกไม่ได้เทศน์นะ นี่ถ้าคนฟังไม่เป็นไง
นี่เราถึงบอกว่า เราเป็นลูกศิษย์กรรมฐานนะ ตรงนี้มันเป็นประโยชน์กับเรามาก แล้วเราจะเข้าใจ จะเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าไม่เข้าใจเรื่องของจิต ฉะนั้นเรื่องของจิตว่าจิตเล็ก จิตน้อย จิตเกิด จิตต่างๆ จิตนี่นะ เวลาพูด นี่พูดโดยวัฏฏะ คือจิตมันเป็นตายตัวอย่างนี้
แต่ถ้าพูดในการปฏิบัตินะ เขาบอกว่าจิตเกิดตายๆ นี่ เขาเปรียบเทียบไง เวลาปฏิบัติไปแล้วนะ เวลาปฏิบัติ เวลาแสดงธรรม เขาต้องพยายามเป็นคติธรรม เป็นแบบอย่าง เป็นอุบาย อารมณ์หนึ่งก็ชาติหนึ่งนะ ความคิดหนึ่งคือจิตมันเกิดแล้ว คือมันเสวยอารมณ์แล้ว แล้วพอมันคิดอารมณ์ใหม่เห็นไหม ความอารมณ์หนึ่ง เขาว่าชาติหนึ่งๆ เชียวนะ นี่ถ้าจับได้ เพราะมันเป็นปฏิจจสมุปบาท อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารา ปจฺจยา วิญฺญาณํ นี่อารมณ์หนึ่ง พลังงานจิต การกระทำของมัน มันทำให้เกิดอารมณ์ได้
อย่างเช่น เรานั่งสบายๆ เราเห็นภาพอะไรนี่จิตไม่รับรู้ เห็นภาพนะ แต่ไม่รู้ว่าเป็นภาพอะไร คนเป็นได้บ่อยๆ อันนี้เพราะอะไร เพราะจิตมันไม่ออก นี่ปัจจยาการมันไม่เกิด ขบวนการของจิตมันไม่ได้ทำงาน ถ้าขบวนการของจิตทำงาน เราเห็นรูปเราก็รู้ว่ารูป ฟังเสียงนี่รู้หมดเลย เพราะอะไร เพราะจิตมันมีสติ พลังงานที่ว่า นี่จิต เห็นไหมพลังงานมันกระจายตัวออก แล้วสมองรับทำงานเห็นไหม
แต่นี่มันเร็วไง ความเคลื่อนที่ของจิตเร็วกว่าแสง เร็วกว่าทุกๆ อย่าง แล้วที่เราฝึกกันนี้ เราก็ฝึกกลับมาตรงนี้ไง คำว่าเร็วกว่าแสงนี้ ขบวนการมันเร็วมากเห็นไหม เรื่องขบวนการของการเคลื่อนไหวนี่ เพราะมันสั่งที่ประสาท ประสาทสั่งให้ร่างกายมันเคลื่อนไหว แต่ใครเป็นคนสั่งล่ะ ความคิดใช่ไหม เราต้องการใช่ไหม แต่ถ้าพอเรากำหนดพุทโธๆ ถ้าจิตสงบเข้ามา มันจะเห็นฐีติจิต ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ
สมาธิคือจิตตั้งมั่น พอตั้งมั่นแล้ว เพราะพวกเราไม่ตั้งมั่น พวกเราวอกแวกวอแว แล้วเราก็คิดประสาอารมณ์ของเรา แต่พอมันตั้งมั่นขึ้นมาแล้วนี่ แล้วออกรู้ของมันนะ มันจะเป็นโลกุตตรธรรม โลกุตตรปัญญา ถ้าโลกุตตรธรรมนะ ธรรมเหนือโลก โลกคือโลกทัศน์ โลกคือหมู่สัตว์ เราว่าโลกที่เหยียบย่ำอยู่ก็คือโลกใบนี้ไง ไอ้โลกใบนี้มันเป็นวัตถุธาตุ ไอ้โลกภพชาตินี่สิ ชีวิตๆ หนึ่ง ชาติหนึ่ง โลกหนึ่ง แล้วพอละเอียดขึ้นมา ความรู้สึกหนึ่ง นี่โลกทัศน์
ถ้าอธิบายเป็นกรรมฐาน เป็นอุบายวิปัสสนา มันยกมาหมดเลย ยกมาขยายความได้มหาศาล พูดกันไม่มีวันจบ พอไม่มีวันจบปั๊บ ครูบาอาจารย์องค์ไหน พูดลักษณะใด เราไปจับคำๆ เดียวมานะ แล้วบอกเป็นอย่างนั้น ที่เถียงกันอยู่ในปัจจุบันนี้ เพราะเหตุนี้แหละ อาจารย์ที่ว่าอย่างนี้จับคำเดียว แล้วท่านอธิบายมาตั้งมหาศาลเลยนะ มันไม่เกี่ยวเนื่องกัน
แต่ถ้าคนเป็นนะ ท่านพูดอย่างนี้เพราะเหตุใด ท่านมีอะไรถึงพูดคำนี้ออกมา แล้วเวลาพูดออกมา พูดกับปุถุชนอย่างหนึ่ง พูดกับพระโสดาบันอย่างหนึ่ง เพราะความรู้ของพระโสดาบันกับปุถุชนต่างกันแล้ว พูดกับพระสกิทาคามีพูดสูงกว่าพระโสดาบันแล้ว พูดกับพระอนาคามีพูดสูงกว่าพระสกิทาคามีนะ เพราะพระโสดาบันมีความรู้ระดับหนึ่ง พระสกิทาคามีมีความรู้ระดับหนึ่ง พระอนาคามีมีความรู้ระดับหนึ่ง พระอรหันต์มีความรู้รอบ
ถ้ามีความรู้รอบนะ พระอรหันต์กับพระอรหันต์คุยกันนะ โอ้โหย! ไม่มีอะไรขัดแย้งกันเลย เพราะรู้รอบเหมือนกัน แต่เวลาพระอรหันต์จะมาพูดกับปุถุชนนะ ถ้าพระอรหันต์พูดรู้รอบอย่างนี้นะ ก็อย่างที่พูด เอ๊! พระพุทธเจ้านี่สติดีหรือเปล่า เพราะถ้าพระอรหันต์พูดอย่างนั้นได้ เพราะจิตมันเข้าใจอย่างนั้น มันเป็นจริงอย่างนั้นด้วยนะ แต่เอาความจริงอย่างนั้นมาพูดกับโลกไม่ได้
ฉะนั้นเวลาพูดกับโลกจึงต้องเอาสมมุตินี่ไง กินข้าวยัง สบายดีไหม ทุกคนบอก สบายดีครับ จริงๆ ไม่สบาย ใครสบายบ้าง สบายดีไหม สบายครับ แต่จริงๆ ไม่สบาย นี่ไง โลกโกหก! แต่เขาโกหกก็ต้องโกหกกับเขา จริงๆ นะ เป็นอย่างไรสบายดีไหม ทุกคนก็ต้องบอกสบาย แต่ในใจเรานะ ไม่มีใครสบายหรอก ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง ถามโกหก ไอ้คนตอบก็ตอบโกหก แต่บอก โอ้โฮ! โลกนี้เจริญนะ แต่บอกว่าเป็นทุกข์ๆ
ใครบอกว่าศาสนาพุทธนี่เป็นศาสนาทุกข์นิยม เขาเข้าใจผิด สัจจะนิยม มันเป็นความจริง พระพุทธเจ้าพูดความจริง และความจริงที่เราเข้าไม่ถึง ความจริงที่เรารู้ไม่ได้ แล้วความจริงที่เรารับไม่ได้ แต่ถ้าเราเข้าถึงความจริงได้ เหมือนกับคนเจ็บไข้ได้ป่วย อะไรเป็นโทษกับเรา เราเข้าไปถึงตรงนั้น เราแก้ตรงนั้นจบเห็นไหม นั่นคือทุกขสัตว์ ถ้าเราเห็นทุกขสัตว์ มันจะเป็นความจริงขึ้นมานะ
ถาม: ตกภวังค์แก้ไขอย่างไร
หลวงพ่อ: ตกภวังค์นี่ ตกภวังค์ทางโลกคือการเหม่อลอย ถ้าตกภวังค์ในการปฏิบัตินี่ พุทโธๆๆ แล้วมันวูบหายไปเห็นไหม ถ้าเป็นตกภวังค์นี่ ถ้าโดยหลักความจริง การตกภวังค์คือมิจฉาสมาธิ มันเป็นสมาธิชนิดหนึ่งนะ แต่ถ้าเราตกภวังค์ในความเห็นของเรา เราคิดว่าไม่มีสิ่งใดคือการเป็นภวังค์ จริงๆ ที่นี้คำว่ามิจฉาใช่ไหม มิจฉาคือผิด สมาธิที่ผิด พุทโธๆๆๆๆๆๆ หลับไปเลย นี่ไงภวังค์ เพราะอะไร ถ้าไม่เป็นสมาธิจะหลับได้อย่างไร ที่เรานั่งกันอยู่นี่ เรานั่งนี่เจ็บปวดนะ เจ็บมากทุกข์มากนี่ มันไม่ลงภวังค์หรอก ลงภวังค์ได้อย่างไร มันปวดอยู่ขนาดนี้ แต่ถ้ามันพุทโธๆๆ จนมันหายไปนี่ ปวดก็ไม่มี อะไรก็ไม่มีนะ เพราะการที่ว่าตกภวังค์ไปนี่ คนที่ตกภวังค์โดยใหม่ๆ ไม่เข้าใจ จะคิดว่าตัวเองนั่งสมาธิเก่ง นั่งที ๓ ชั่วโมง ๔ ชั่วโมงนะ เวลานั่งนะ เวลาออกมา อื้อฮือ! สบายๆ แต่มันก็งงๆ อยู่นะ แต่พอมันเข้าใจนะ ฉะนั้นคำว่าตกภวังค์นี่ เราใช้กันภาษาสมมุตินี่ เราใช้กันจนมีความเข้าใจ อย่างเด็กก็มีความเข้าใจระดับหนึ่ง ผู้ใหญ่ก็มีความเข้าใจระดับหนึ่ง เราพูดถึงภวังค์ๆ ก็เลยกลายเป็นความเข้าใจของเด็ก เพราะเราต้องการสื่อให้เด็กเข้าใจได้ พอต้องการสื่อให้เด็กเข้าใจได้ ภวังค์เลยกลายเป็นว่าโน่นก็ตกภวังค์ นี่ก็ตกภวังค์ การตกภวังค์นี่นะ คนที่นั่งแล้วมันหายไป มันเป็นมิจฉาสมาธิ เป็นสมาธิที่ผิด นี่พอเป็นสมาธิที่ผิด สมาธิที่ผิดมันยิ่งทำแล้วทำง่าย เพราะไปถึงระดับมันจะหายไปเลยๆ เพราะอะไร เพราะมันผิด พอมันผิดแล้วมันจะผิดซ้ำซาก ผิดย้ำเข้าไปให้ความผิดนี้มันออกจากนอกธรรมะไปเลย ออกนอกจากอริยสัจ ออกจากความจริงไปเลย แต่ถ้าเป็นสมาธิถูก เช่นสัมมาสมาธินะ พอมันพุทโธๆๆ จิตมันเริ่มหดตัวเข้ามา มันสั้น มันรู้สึกตัวตลอด พุทโธๆๆ มันมีความรู้ตลอด มันมีความปล่อยวางมาตลอด จนจิตตั้งมั่นขึ้นมา จิตตั้งมั่นหมายถึงว่ามันไม่รับรู้อะไรเลย มันไม่รับรู้แม้แต่เสียง นั่งอยู่ เสียงหรือความรับรู้ร่างกายไม่มีเลย มันสงบตัว นี่มีความสุขมาก แล้วเป็นยาก แล้วไม่ค่อยเป็น แล้วเวลาเป็นสัมมาเป็นความถูกต้องนี่ทำยากทั้งนั้นเลยนะ แต่ทำผิด แหม มันง่ายๆ ไปหมด ตกภวังค์คือมิจฉาสมาธิ คือพุทโธๆ มันวูบๆ มันก็เป็นสมาธิอันหนึ่ง แต่มันเป็นมิจฉา ฉะนั้นการแก้ เริ่มต้นครูบาอาจารย์เราจะบอกประจำว่า ข้อวัตรปฏิบัติของพระป่าเรานี่คือการแก้การตกภวังค์ การแก้ลงนิวรณธรรม คือความลังเลสงสัยต่างๆ เพราะเราทำตรงนี้ปั๊บ สติมันจะพร้อม เห็นครูบาอาจารย์ไหม นี่เขาฝึกกันไว้ที่บ้านตาดนะ เมื่อก่อนสมัยที่ว่ายังอยู่ชั้นบนอยู่ มันเป็นกระดาน มันเป็นพื้นเห็นไหม ท่านฝึกสตินะ พอตอนแจกอาหาร นั่นนะคือเวทีที่จะทดสอบพระกัน จะต้องฉับไว แล้วต้องไม่มีเสียง เดินแบบไม่มีเสียง ถ้าเดินมีเสียง เดินลงส้นต่างๆ ท่านบอกนี่ขาดสติ ไม่ใช่นักภาวนา ถ้านักภาวนานะ เดินด้วยปลายเท้าเหมือนย่องแต่เร็วมากนะ พั๊บๆๆๆ จะไม่มีเสียงเลย พอไม่มีเสียงอย่างนั้น นี่การฝึกมาตลอดเห็นไหม แม้แต่การเคลื่อนไหวของเรา เราก็ฝึกมาแล้ว การแจกอาหารสมัยบ้านตาด สมัยก่อนเห็นไหม อาหารขึ้นมามันจะเยอะมาก เพราะคนมาทำบุญเยอะมาก แล้วถ้าจะแจกอาหารด้วยความเรียบร้อยนะ ครึ่งวันก็ไม่จบ มันก็ต้องแจกให้ไว แล้วไวอย่างมีสติ ไวแล้วห้ามผิด ไวแล้วพลาดไม่ได้ด้วย นี่คือการฝึกสติ ทุกอย่างการอยู่การเคลื่อนไหว หลวงตาท่านบอกประจำ เห็นพระนั่ง ท่านบอกรับไม่ได้ เห็นพระเหม่อลอยท่านรับไม่ได้เลย เพราะการเหม่อลอยนั้นคือการขาดสติ การเดินไม่มีสติ การนั่งไม่มีสติ การพูดไม่มีสติ การเคลื่อนไหวไม่มีสติ ถ้าอยู่บ้านตาดสมัยที่เราอยู่กับหลวงตานะ ตายกับตาย! เชือดทันทีเลย ตายกับตาย! เห็นเดินอยู่นี่ เดินไปไหน เดินอย่างไร สิ่งที่ทำอยู่นี่ เราบอกข้อวัตรปฏิบัติที่ครูบาอาจารย์ท่านวางไว้นี้ เราเห็นว่าเป็นโทษ เห็นว่าเป็นความลำบาก แต่จริงๆ คือการฝึกสติจะไม่ให้ตกภวังค์นี่ไง
ถาม: แก้ไขอย่างไร
หลวงพ่อ: การแก้ไขนี่เห็นไหม นั่งสมาธิตกภวังค์ เวลาออกภาวนาตกภวังค์ เวลาออกจากสมาธิมาหนหนึ่งตกภวังค์ ลำบากน่าดูเลย แล้วก็ไปนั่งโม้กันครึ่งวัน นี่ล่ะตัวตกภวังค์ล่ะ เพราะไอ้ไปโม้กันไปคุยกันครึ่งค่อนวันนี่ล่ะ มันทำให้จิตมันฟุ้งซ่านไป เหมือนกับคนเวลาเราเพลียมาก เราเหนื่อยมาก แล้วมาทำงานจะได้งานไหม จิตนี่ไปคุยกันทั้งวันเลย คุยเรื่องร้อยแปดพันเก้า ถ้ามันหน้าที่การงานเราก็ไปทำงานของเรา ถึงเวลาก็จะมาภาวนาทันทีเลย นี่ไง การแก้ไขหลวงตาท่านสอนอย่างนี้ ท่านบอกการภาวนาของเรานี่ จิตของเราเหมือนโคเหมือนควาย ถ้าเราผูกเชือกไว้ เราไปผูกไว้ที่ไหนที่ให้กินหญ้า เราก็เอาไปปักไว้ ถึงเวลาเราก็ไปจับเชือกมา เราจะได้โคได้ควายกับบ้าน แต่ถ้าวัวควายของเรา เราจะเลี้ยงด้วยความสะดวกสบายของเรา เราปล่อยเข้าป่าไป ถึงตกเย็นก็ต้องวิ่งไปหามัน กว่าจะไปเจอตัวมัน การฝึกสติทำข้อปฏิบัตินี่เหมือนกับเรามีเชือก สติคือเชือก ผูกหัวใจของเราไว้ เหมือนโคควายเราผูกไว้ ถึงเวลาเราก็สาวไปถึงตัวมัน นี่การตกภวังค์ คำว่าตกภวังค์นี่คือผล แต่เวลาการแก้ไข มันมี ถ้าเราจะไปบอกหมด เด็กนี่นะ ถ้าเราอยากให้เป็นคนดี เราต้องให้มีการศึกษา ก็เท่านั้นนะ แต่ถ้าเด็กมันมีการศึกษา มันฝึกตัวมันเอง มันมีความดีของมันเห็นไหม นี่คือข้อแก้ไข ข้อแก้ไขคือว่า เราตั้งสติของเรา เราดูแลตัวของเรา เราแก้ไขของเรา มันจะไปแก้ไขที่ภวังค์นี่ไง ตกภวังค์แก้อย่างไร ก็เอาภวังค์มาทุบทิ้งก็จบไง ทุกคนคิดกันอย่างนั้นน่ะ หลวงพ่อตกภวังค์ทำอย่างไร มันก็เหมือนกับฉีดยาไง ป่วยมาเหรอ ทิ่มยา ฉีด ๑ เข็ม กลับบ้านได้ เดี๋ยวนี้ทุกคนใจร้อน ทุกคนคิดกันอย่างนี้เห็นไหม เวลาใครตกใจ ใครมีปัญหา นิมิตที่เกิดเป็นภาพที่มันฝังใจเห็นไหม แล้วการภาวนา สิ่งที่ไม่ดี เวลาจะแก้ไขเห็นไหม กำหนดพุทโธๆๆ นี่ มันจะค่อยๆ เลือนไป ค่อยๆ จางไป เรามีสติแก้ไขไป จิตมันแก้ไขอย่างนั้น มันจะแก้ปุ๊บปั๊บไม่มีหรอก เราเป็นอย่างนี้ แล้วแก้ปั๊บ มันไม่ใช่เขียนหนังสือ เซ็นชื่อผิดแล้วลบ เซ็นชื่อใหม่ นี่ก็เหมือนกัน ปฏิบัติตกภวังค์ แก้ไม่ให้ตกภวังค์ก็ต้องแก้อย่างนี้ พุทโธๆๆๆๆๆๆ พอพุทโธๆๆ คนเคยตกภวังค์นะ พุทโธๆ ปุ๊บหายไปเลย พุทโธๆ จะแก้ไม่ให้ตกภวังค์ พุทโธๆๆๆ ถ้ามันจะหายนะพยายามดึงไว้ ปุ๊บหายไปละ เออ กูแพ้มึง คราวหน้าเอาใหม่ พุทโธๆ ถ้าพุทโธๆๆๆๆ มันจะลงนะ นี่มันแก้ได้ ทาง ๒ แพร่ง ทางหนึ่งเข้าสมาธิ ทางหนึ่งพอกำหนดไปแล้วมันจะลงไปภวังค์ นี่ทาง ๒ แพร่ง เราตั้งสติให้ดี เอาไปให้มันถูกทางให้ได้ แล้วเราควบคุมไป นี่คือการแก้การตกภวังค์ นี่การตกภวังค์นะ มันต้องเป็นภวังค์จริงๆ ตอนนี้เราจะบอกว่าคนที่ประพฤติปฏิบัติไม่ได้หลักได้เกณฑ์ ได้แต่สัญญาความจำ เอาความจำมาพูดกันมาโม้กัน ฉะนั้นภวังค์ที่ว่าเป็นภวังค์ เราไม่เชื่อว่าเป็นภวังค์ คนทั่วๆ ไปที่บอกว่าตกภวังค์ๆ เราไม่เชื่อนะ ภวังค์เองก็ไม่มีหรอก เพียงแต่เอ็งนั่งหลับกันต่างหาก เอ็งนั่งสัปหงกกันแล้วเอ็งว่าเป็นภวังค์ แม้แต่ภวังค์เรายังไม่เชื่อว่าเป็นภวังค์นะ เพราะเป็นภวังค์นะ เวลาพุทโธๆๆ แว็บหายไปนี่ ภวังค์ลงทีหนึ่ง ๒-๓ ชั่วโมงนะ แล้วเวลาตื่นขึ้นมา เวลามันออกจากภวังค์นี่เหมือนคนสะดุ้งจากตื่น สะดุ้งทีหนึ่งเหมือนคนตื่น คนนอนแล้วตื่นจากหลับ นี่คนหลับมันไม่มีสติใช่ไหม นอนหลับไปใช่ไหม แต่เรานั่งสมาธิอยู่ แล้วเราพุทโธๆ จนวูบหายไปเลย เพราะเวลามานี่มันเหมือนสะดุ้งตื่น แล้วคนที่เป็นภวังค์เข้าใจผิดว่าตัวเองเป็นสมาธิ คนที่ตกภวังค์มันจะเข้าใจตัวมันเองผิดว่าที่นั่งอยู่นี่คือสมาธิ ถ้าไม่มีใครบอก เราแก้มาหลายคน เขาไม่ยอมรับว่าเขาตกภวังค์ เขาว่าเขาแน่มาก สุดท้ายแล้วต้องพยายามนั่งจับกันเลย เวลามันลงไปนะ ครอกกก...ๆ เขาไม่รู้ตัวนะ พอเขาตื่นมา บอกว่า มึงกรนนะ มึงกรน เขายังเถียงนะ ฉะนั้นพวกนี้ไม่เคยรู้ว่าตัวตกภวังค์ แล้วเราไม่เป็นอย่างนั้นใช่ไหม เราก็ โอ๊ย! ตกภวังค์ๆ เรายังไม่ได้กรน แล้วกรน นั่งๆ น่ะนั่ง หลับ การแก้คือพุทโธๆ เราจะเปรียบอย่างนี้ เราแก้บ่อย เวลาตกภวังค์เหมือนรถวิ่งไป รถคือจิต มันวิ่งไปบนถนน บนถนนมีสะพาน คอสะพานมันขาด เวลารถวิ่งไปถึงคอสะพานนั้นจะตกทันที นั่นคือตกภวังค์ เราพุทโธๆ เราเอาดิน เอาเศษวัสดุถมถนน ถมคอสะพานนั้นให้ได้ พุทโธๆ ถ้าเราถมคอสะพานจนมันเสมอ รถเราวิ่งมามันจะผ่านคอสะพานนั้นไป ข้ามสะพานนั้นไป เลยจากสะพานนั้นไปก็คือสมาธิไง เข้าไปนะ โอ้โฮ! ร่มเย็นเป็นสุข มีคนถามบ่อยว่า หลวงพ่อ คำว่าสมาธิ ได้ฟังมาบ่อยว่ามีความสุข มีความสุข ผมไม่เห็นสุขสักที ไม่เคยเจอความสุขสักที น้ำ เราหิวกระหายน้ำ น้ำเย็นเราดื่มเข้าไปนี่เราจะมีความเย็นไหม? แน่นอน! จิตถ้ามันเป็นสมาธิมันได้สัมผัสสมาธิ ถ้าไม่มีความสุขให้เตะ แต่ที่มันเป็นอยู่นี่มันไม่เป็นสมาธิไง มันไม่เป็นสมาธิมันก็ไม่เป็นความสุขไง แล้วไหนว่าเป็นสมาธิมีความสุข หลวงตาติดสุข แล้วติดสมาธิติดสุข ใครๆ ก็ติดสุข ทำไมเราปฏิบัติเกือบตาย สมาธิก็ได้เป็นอยู่นี่ ทำไมไม่เห็นสุขสักที คำถามมันฟ้อง เวลาถามมันฟ้องถึงผลที่ปฏิบัตินั่นน่ะ มันฟ้องทันที แต่ถ้าคนเป็นแล้วคนปฏิบัติมาแล้ว มันผ่านอย่างนั้นมา มันรู้เองว่าทำอย่างนี้เป็นอย่างนี้ ทำอย่างนี้เป็นอย่างนี้ เราอยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะไง นี่ยืนยันตลอด หลวงปู่เจี๊ยะพูดกับเรา โทษนะ นักปฏิบัติกับนักปฏิบัติอยู่ด้วยกัน เรานี่ปัญญาอบรมสมาธิ เราใช้ความคิดมาตลอด ที่ภาวนาได้มา เพราะภาวนา... การพิจารณาจิตอยู่ในปลูกดอกบัวที่ใจ นั่นล่ะวิทยานิพนธ์เลย เราทำอย่างนั้นมาตลอด แล้วมาอยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะไง เฮ้ย! มึงพุทโธๆ เราก็พุทโธอยู่ แต่ธรรมดาคนไม่ถนัดก็ต้องเถียงกันไปหน่อย เป็นธรรมดา สุดท้ายท่านบอกเลยนะ เอ็งพุทโธ ถ้าเอ็งพุทโธไม่ได้ เอ็งทำสมาธิไม่ได้นะ เอ็งไม่ต้องมาคุยเลย แล้วทำพุทโธนะ พุทโธๆ นี่ ถ้าพุทโธ ๕ ชั่วโมงเป็นสมาธิ ๒ นาที ถ้าพุทโธ ๑๐ ชั่วโมงมันจะเป็นสมาธิ ๑๐ นาที ถ้าพุทโธทั้งวันทั้งคืนเลยนี่มันเป็นสมาธิ แล้วคำว่านาที ๒ นาที กับเวลาที่เรานั่งจริงๆ กับที่ว่าเวลาเราเป็นสมาธิ เวลาเราลงที ๓-๔ ชั่วโมง เขาพุทโธเท่าไร เขาพุทโธมานานขนาดไหน นี่คำว่าพุทโธขนาดไหนนี่ เวลาทำขึ้นไปมันเป็นตามนั้น หลวงปู่เจี๊ยะ ท่านเป็นพระอรหันต์นะ ท่านเป็นคนพูดเอง แล้วเราน่ะเหมือนกับชี้เลย มึงทำอย่างนี้พิสูจน์ แล้วเราเป็นคนทำ เราก็พุทโธๆ พุทโธอยู่อย่างนั้น แล้วพุทโธนี่เราอยากพิสูจน์ นิสัยนะ เวลาถ้ามันลงใจแล้วมันจะพิสูจน์ ต้องพิสูจน์ เราพุทโธมาตลอด ตอนอยู่ที่ปทุม ปี ๒๗ พุทโธๆๆๆๆๆๆ พุทโธทั้งวันทั้งคืน เพราะเราเคยปฏิบัติมาแล้ว เราทำของเรามาตลอด เรื่องการภาวนาเราภาวนาต่อเนื่อง เวลาพระปฏิบัติเขาภาวนาต่อเนื่อง แล้วบอกว่า ๒๔ ชั่วโมงน่ะ อย่ามาโม้! เป็นไปได้อย่างไร อย่างพุทโธๆๆ เพราะการเคลื่อนไหวคือข้อวัตร คือความชำนาญ ฉะนั้นถ้าชำนาญเรากำหนดจิตของเราได้ พุทโธๆๆๆ การเคลื่อนไหวคือการเคลื่อนไหวจะพุทโธตลอด ยิ่งไม่มีการเคลื่อนไหวพุทโธยิ่งชัด พุทโธชัดๆ เลย พุทโธๆๆๆๆๆๆ อยู่อย่างนั้นละ ประสาเรานะ เหมือนกับคนบ้า คือว่ากูจะพุทโธแล้วไม่ให้จิตกูเป็นอะไรเลย กูจะอยู่กับพุทโธนี่ คิดอย่างนั้น คือต้องการพิสูจน์ พุทโธๆๆๆๆๆ พุทโธแบบไม่ต้องการสิ่งใดเลย แล้วพุทโธอยู่อย่างนั่นล่ะ แล้วเวลามันลงนะ เวลาพุทโธๆ ก็พุทโธนะ เวลาจิตมันลงนะ มันบ๊ายบายเลย นี่จริงๆ เป็นอย่างนั้นจริงๆ ความรู้สึกของเราๆ พูดตามความรู้สึกเลย พอจิตมันจะลงนะ บ๊ายบาย พุทโธๆๆ ไป กูจะลงสมาธินี่ โอ้โฮ! มันลงนะ ลงไปถึงที่สุดเลย เงียบ! เงียบเลย นี่เพราะอะไร เพราะเราทำเหมือนกับเราตักน้ำใส่ภาชนะ โดยที่ไม่หวังให้มันเต็ม มันจะเต็มของมัน เพราะพิสูจน์กัน มันถึงเชื่อมั่นมากไง เวลาเขาบอกว่าพุทโธๆ ทั้งๆ ที่เขาพูดกัน ไอ้ที่เขาบอกว่านี่สมาธิว่างๆ เวิ้งๆ น่ะ อย่างที่ว่าตกภวังค์ เราไม่เชื่อหรอก ไอ้ที่ว่าจิตเป็นสมาธิอยู่แล้ว มีสมาธิอยู่แล้ว ไม่ต้องไปทำน่ะมันขี้เกียจ มันทำไม่เป็น อาจารย์มันน่ะสมาธิมันยังไม่รู้จักเลย แล้วนิพพานกันหมดแล้วนะ คิดดูสิว่าคนไม่รู้จักแบงก์ ไม่รู้จักเงิน มันจะดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้อย่างไร เรากลับไปกรุงเทพนี่ แล้วเงินในกระเป๋านี่ เราไม่เข้าใจเลย เราไม่รู้จักเงินของเราเลย เราจะดำรงชีวิตในสังคมได้ไหม? มันเป็นไปไม่ได้ใช่ไหม? ถ้าพวกโยมนี่ไม่รู้จักเงิน เงินในสังคมนี้เรารู้จักมันไม่ได้ เราไม่รู้จักมัน เราไม่เข้าใจว่าอันนี้เป็นเงิน เราจะอยู่ในสังคมเขาอย่างไร จะบอกว่าปฏิบัติแล้วได้คุณธรรม สมาธิมึงไม่รู้นี่มึงจะปฏิบัติได้อย่างไร สมาธิมึงทำกันไม่เป็นนี่ มันก็เหมือนอยู่ในสังคมแล้วไม่รู้ว่าเงินนี่เขาใช้กันอย่างไร แต่มันบอกว่ามันเป็นเศรษฐี มันมีความสุขมาก มันมีสมบัติมากแต่มันไม่รู้จักเงิน นี่ข้อเท็จจริงเป็นอย่างนี้ ที่เขาบอกว่าเขาดูจิตๆ กัน ที่เราเถียง เราเถียงตรงนี้ไง สมถะก็ไม่ต้องทำ อะไรก็ไม่ต้องทำ สมาธิมันจะเกิดเอง ทุกอย่างจะเกิดเอง ถ้ามันเกิดเอง เรานั่งอยู่ตรงนี้ พ่วง! มีคนละ ๕๐๐ ล้าน เงินเต็มกระเป๋าหมดเลย มันเป็นไปได้ไหม นั่งกันอยู่นี่แล้วบอกเงินจะมานี่ ๕๐๐ ล้าน ถ้ามาได้สมาธิเกิดเองได้ ถ้ามาไม่ได้สมาธิเกิดเองไม่ได้ เงิน ๕๐๐ ล้านก็ต้องหาเงิน ๕๐๐ ล้านมามันถึงจะเป็น ๕๐๐ ล้าน นี่ไง สมาธิคือพุทโธๆๆๆ นี่แหละ ถ้ามีพุทโธสมาธิมันก็จะมี ไม่มีพุทโธสมาธิมันก็ไม่มี แล้วบอกไม่ต้องทำๆ สมาธิจะเกิดเอง จะมาเอง อย่างนี้ เรื่องอย่างนี้ เพราะเห็นเขาสอนกันอย่างนี้แล้ว แหม! แหม! เลยนะ มันแหมที่ไหนรู้ไหม แหมที่ศาสนาพุทธเรานี่มันจะล่มสลาย พระพุทธศาสนานี่พระพุทธเจ้ารื้อค้นขึ้นมา แล้วมันก็ล่มสลายมา คิดดูสิ ๒,๐๐๐ กว่าปีเห็นไหม เมืองไทยแค่ไม่ถึง ๗๐๐ ปี มันก็มีเจริญมีเสื่อมมาตลอด แต่ในปัจจุบันนี้ครูบาอาจารย์ของเราท่านรื้อค้นขึ้นมา จนมั่นคงขึ้นมา พอมั่นคงขึ้นมาแล้วคนก็เชื่อถือศรัทธา เอ็งมาจากไหนกัน สมาธิก็ไม่ต้องทำ อะไรก็ไม่ต้องทำ แล้วเวลาทำขึ้นมานี่ คำว่าภวังค์ คำว่าสมาธิ เราถึงบอกว่าเขาถามกันมาเยอะ พวกผู้ปฏิบัติใหม่นี่ถามกันมาเยอะนะ ไอ้สมาธิที่ว่ามีสุขน่ะ ผมก็ทำมาเป็นปีเป็นชาติไม่เห็นสุขสักที ไม่สุขสักที มันก็เห็นใจนะ เห็นใจหมายถึงว่าเขายังทำไม่ได้ เพราะอะไร เพราะการฝึกหัดใหม่นี่มันฝึกหัดยาก แต่พอคนฝึกแล้วพอทำงานได้เป็นแล้วนี่ การทำงานต่อไปจะคล่องตัวมาก ถ้าทำสมาธิได้เป็นหลักเป็นเกณฑ์ขึ้นมาแล้ว เราจะทำได้คล่องตัวมาก การคล่องตัวอยู่ที่ไหนรู้ไหม ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เราทำอย่างไร เราตั้งสติอย่างไร ตรงนั้นสำคัญ แล้วพอตรงนั้นสำคัญ เราต้องลงทุนลงแรง เราก็ไม่อยากทำ เราก็อยากได้แต่ผล ถ้าอยากได้แต่ผล มันก็ไม่ได้ผลตามนั้น ฉะนั้นเพราะอย่างนี้คำว่าภวังค์ คำว่าตกสมาธิ คำว่าอะไรต่างๆ นี่ มันเป็นคำของครูบาอาจารย์ มันเหมือนกับนักกีฬาอาชีพ เห็นไหม ดูสิ เขาทำสถิติกัน สถิตินั้นมาจากไหนล่ะ มาจากการฝึกซ้อมของเขา ครูบาอาจารย์ของเรา ท่านประพฤติปฏิบัติกันขึ้นมาจนเป็นพระอรหันต์นะ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่แหวน หลวงปู่ขาว หลวงปู่บัว หลวงปู่ชอบ หลวงปู่คำดี หลวงปู่ฝั้น พระอรหันต์ทั้งนั้นน่ะ นี่คำว่าพระอรหันต์ เวลาคำพูดมันเหมือนนักวิชาการ นักวิชาการที่มีการทำการวิจัย เขาคุยกันเรื่องวิชาการ เขาคุยกันเข้าใจหมดนะ เพราะเขาทำงานมาด้วยกัน ฉะนั้นสิ่งที่ว่าเป็นภวังค์ ผิดถูกเพราะนักวิชาการเขาก็ชี้กันมา เดี๋ยวนี้พวกเราไอ้พวกขี้ครอก เห็นนักวิชาการเขาพูด กูจะพูดบ้าง เท่! แล้วตกภวังค์ สมาธิไม่ได้ สังคมมันเป็นอย่างนี้กันนะในการปฏิบัติ ฉะนั้นเราจะทุกข์จะยากนะ ใช่ นักวิชาการเขาทำมา เขาวิจัยกันมา แต่เราก็อยากจะรู้อยากจะเห็น เราก็อยากจะเป็นอย่างนั้น เราก็ต้องเข้มแข็งสิ เราต้องทำเข้าไปหาสู่สัจธรรม ไม่ใช่สัจธรรมเข้ามาหาเรา อะไรก็เรียบง่าย อะไรก็สะดวกสบาย แล้วจะให้สัจธรรมเข้ามาอยู่ในใจเรา โดยที่ให้มันมาเองน่ะนะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก นี่พูดถึงคำว่าภวังค์ไง กรณีอย่างนี้ เวลาเมื่อก่อนโยมถาม เราก็ตอบเห็นไหม เราไม่อธิบายอย่างนี้เพราะอะไร เพราะอธิบายไปมันก็เหมือนกับขี่ช้างจับตั๊กแตน เพราะอย่างคำว่าช้างคือทางวิชาการ ในการปฏิบัติความจริงเป็นอย่างนี้ แต่นี่ตั๊กแตน พวกโยมมันก็ยังใหม่ใช่ไหม ภวังค์ อ้าว! วัง ก็วังด้วย มึงภวังค์ กูก็ภวังค์ แล้วแต่มึงนั่นแหละ แต่ในใจเราคิดอย่างนี้มาตลอดนะ อ้าว! ว่ามา
ถาม: ถ้าสมมุติว่าเรานั่งสมาธิ หรือนั่งสมาธิ แล้วมีอาการอันหนึ่งขึ้นมาเหมือน ๒ แพร่ง อันหนึ่งกับอันหนึ่งที่มันหลับ แล้วเราก็หลงไปคิดว่ามึนใช่ตรงนี้ ตรงนี้หลวงพ่อเฉลยว่ามันเป็นมิจฉาสมาธิ
หลวงพ่อ: แน่นอน
ถาม: ในขณะเดียวกัน อีกสภาวะหนึ่งมันก็เป็นลักษณะอาการเหมือนกายที่ไหว
หลวงพ่อ: ไม่! ไม่หรอก อ้าว! ว่าไป
ถาม: แล้วมันเหมือนกับก็ลง แล้วค่อยสงบลง แต่พอถึงตรงนั้นปุ๊บมันมีรอยต่อว่า อาการทางกายมีเกิดขึ้น ในการมีการหดตัว บีบรัด หรือจับเราโขก ทำให้เราตกเก้าอี้
หลวงพ่อ: ไม่หรอก อาการทาง ๒ แพร่งของการเข้าสมาธินี่ ถ้าลงเข้าไปคือมิจฉาคือภวังค์ แต่ถ้าเข้าสมาธิเห็นไหม เวลาเข้าทางซ้ายจะตกภวังค์ไป ทางขวาจะเข้าสมาธิไป แต่ขณะที่เรากำหนดพุทโธๆ มานี่ ก่อนตกภวังค์ หรือก่อนเข้าสมาธิก็แล้วแต่ มันมีไหม วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตารมณ์ มันจะมี เราจะบอกว่ามันจะมีการปรับสภาพของจิต จิตมันมีการปรับสภาพของมัน ถ้ามีปรับสภาพของมันนี่ นี่เราใช้คำว่าปรับสภาพนะ จิตมันจะเข้าสู่สมาธิ เพราะสมาธิมันเหนือกว่าปุถุชนใช่ไหม นี้พอจิตนี้มันจะปรับสภาพของมัน มันก็เหมือนอาหารที่มันจะสุก อาหารที่ดิบจะทำให้สุก จะสุกอย่างไร สุกจากความร้อน นี่ก็เหมือนกัน จิตเวลาจะเข้าสมาธิมันจะเปลี่ยนสภาวะจากจิตดิบๆ เห็นไหม เข้าไปสู่เป็นสมาธิ พอมันจะเปลี่ยนสภาวะที มันจะมีอาการอย่างนี้ เห็นไหม เพราะมีอาการ พระพุทธเจ้าถึงบอก พระพุทธเจ้านี่ฉลาดมาก พระพุทธเจ้าวางไว้หมดแล้ว แต่พวกเราไม่เข้าใจกันเอง วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตารมณ์ เอกัคคตารมณ์คือตัวสมาธิ วิตก วิจาร พุทโธๆ นี่วิตก วิจารคือการขยับ คือการปรับสภาพจิต พุทโธๆๆๆๆๆ เกิดปิติเห็นไหม พอเราปรับสภาพจากสมมุติ ปรับสภาพจากความเห็นของเรา ปรับสภาพจากสมมุติ พอเรานึกพุทโธๆ นี่ เพราะใครเป็นคนนึก จิตมันมีพลังงานมันนึก มันเกี่ยวเนื่องกัน พอเกี่ยวเนื่องกัน มันทำจนชำนาญปั๊บ ตัวจิตจะเริ่มเปลี่ยนแปลง พอจิตเริ่มเปลี่ยนแปลงปั๊บนี่ มันมีการสั่นไหวไง พอมีอาการสั่นไหวนี่ ทุกคนจะตกใจ โอ๊ะๆๆ พอตกใจปุ๊บ จิตนี่มันแปลกนะ พอมีอาการสั่นไหว พอมีอาการอย่างนั้นปั๊บ จิตนี่อะไรที่มันเป็นโทษมันจะซับเลย ซับแล้วมันจะติดเลย ฉะนั้นพอติดปั๊บ ที่ว่าแผ่นเสียงตกร่อง แผ่นเสียงตกร่อง เวลาใครไปน่ะ พอมีอาการ พอนั่งไปปั๊บ บางคนสั่นไหวนะ ก็สั่นไหวไปอีกร้อยชาติเลยแหละ เดี๋ยวๆ ก็สั่นไหวๆ เพราะมันเป็นความยึดติด แต่วิธีแก้ใช่ไหม เราพุทโธของเราไป มันจะเจอสภาพเหมือนกับคอสะพานนั่นน่ะ พอเรามีวิธีแก้นะ เวลาพุทโธๆ หรือกำหนดลมหายใจ กำหนดอะไรก็แล้วแต่ พุทโธก็ได้ กำหนดลมหายใจก็ได้ อานาปานสติก็ได้ ได้เหมือนกันหมด แต่เวลาจะเกิดๆ สภาวะนี้เหมือนกัน ถ้าคนจะเกิดนะ คนจะเกิดหมายถึงว่าพันธุกรรมของจิต พันธุกรรมของจิตมันมีโทษอย่างนี้ปั๊บ เวลาเข้าไปถึงตรงนี้ปั๊บมันจะแสดงอาการของมัน จิตถ้ามันมีอาการของมันอย่างนี้ เหมือนกับที่เขาว่านิมิตๆ นี่ ใครเห็นนิมิตต้องเป็นนิมิตอย่างนี้ ถ้าพุทโธจะเห็นนิมิต ถ้าอย่างอื่นมันจะไม่เห็น เวลาเข้ามาถึงตรงนี้ปุ๊บมันจะแสดงอาการ พอจิตมันเข้ามาถึงสิ่งที่เรารับเรารู้ มันก็จะเกิดอาการ เราก็กำหนดพุทโธไว้ชัดๆ นี่ไง กำหนดพุทโธไว้ กำหนดลมไว้ ยึดตรงนี้ไว้ พอยึดตรงนี้ไว้ปั๊บ กำลังมันอยู่ที่นี่ จิตมันอยู่ที่นี่ใช่ไหม สิ่งที่มันอาการที่มันวูบวาบนี่ มันจะเริ่มเบาลง ๆๆ
ถาม: แต่มันจะบีบรัดกายทั้งกาย
หลวงพ่อ: ยัง ไอ้บีบรัดกายนั้นเป็นอีกกรณีหนึ่ง กรณีอย่างนี้คือสิ่งที่จิตมันยึดใช่ไหม ที่นี้พอเข้าไปแล้ว ถ้าจิตเป็นสมาธิแล้ว อาการที่มันจะรัดกาย อะไรต่างๆ นี่ สิ่งนั้นมันเป็นอีก เพราะถ้าจิตมันลงสมาธิ ลงสมาธิค่อยเกิดทีหลังใช่ไหม มันลงสมาธิแล้ว จิตมันสงบแล้ว ค่อยเกิดอาการรัด
ถาม: ......แต่ยังไม่ลง ยังไม่เป็นสมาธิที่สงบนิ่งอะไรอย่างที่หลวงพ่อว่านะคะ
หลวงพ่อ: ไม่เป็นไร กรณีอย่างนี้ เราค่อยๆ แก้กันไป สรุปอันนี้หน่อยหนึ่ง หมายถึงว่าอยู่ที่กรรมของใครเห็นไหม บางคนเป็นสมาธิโดยที่ไม่มีอะไรเลยนะ เงียบ! ง่ายๆ แต่บางคนนะ สมาธิ หลวงตาท่านพูดบ่อย ท่านบอกของท่านนี่ต้องสมบุกสมบั่น ต้องพิจารณากันเต็มที่มันถึงจะลง ของใครของมัน
ถาม: เคยกราบเรียนถามหลวงตาเหมือนกันว่า หาทางออกไม่ได้นะคะ ออกไม่ได้นะ หลวงตาบอกว่า ถ้าอย่างนี้ให้ฝืน ถ้าฝืนไม่ได้ให้กลับมาหาท่านอีก ท่านจะเอาไม้โขก ก็ลองทำฝืนดู แล้วก็ดูอาการที่มันเกิด ดูรู้
หลวงพ่อ: ฝืน ฝืนก็บอกที่เรากำหนดพุทโธไว้นี่ไง ถ้ากำหนดพุทโธไว้ จิตมันไม่ไปตรงนั้น อาการนั้นมันจะค่อยๆ จางไป
ถาม: แต่อาการทางกายมันรุนแรงจนเหมือนเราต้องไปพิจารณาว่ามันเกิดอาการแล้ว ทำให้เกิดทุกข์ตรงไหน บีบรัดที่ไหน แล้วทุกข์นั้นเพิ่มขึ้น คลายลง
หลวงพ่อ: ถ้าอันนี้แล้วนี่ อันนี้จิตมันสงบแล้ว ถ้าจิตไม่สงบนะ คิดอย่างนี้ไม่ได้ พอจิตสงบแล้ว พอมีอาการปั๊บเราเปรียบเทียบ พอเปรียบเทียบนี่เป็นปัญญาอันหนึ่ง เพราะเราพุทโธๆ จนมันเป็นอย่างนี้ใช่ไหม พอเป็นอย่างนี้ จิตมันต้องดีกว่าเก่า ดีกว่าจิตข้างนอกใช่ไหม เพราะมันสงบเข้ามาแล้วมันถึงเห็นอาการอย่างนี้ พอเห็นอาการอย่างนี้ปั๊บเราพิจารณาไป อย่างนี้ก็ใช้ได้ อย่างนี้ต้องทำเลย คือว่ามันจะหลุดด้วยปัญญาของเราไง ปัญญาของเรานี่ พอเราพิจารณาแล้วนี่ นี่คือปัญญา พอปัญญามันจะไปสำรอก ไปชำระความลังเลสงสัย เพราะจิตที่มันเป็นนี่ เพราะจิตมันสงสัย เวลามันบีบรัดขึ้นมา อะไรมันบีบรัดวะ อยากรู้ บีบรัดก็ ๒ เท่า เอ๊! จริงหรือเปล่าวะ ๔ เท่า เพราะการบีบรัด เพราะเราอยากรู้ความบีบรัดนั้น เราอยากแก้ไขตรงบีบรัดนั้น มันก็เลยยิ่ง
ถาม: เลยยิ่ง...แล้วก็ไม่ชนะ มันแค่เสมอ แล้วก็เหนื่อยมาก พอเราเลิกก็เหมือนกับชกมวยไม่ครบยก
หลวงพ่อ: ไม่เป็นไร
ถาม: เหมือนเราแพ้
หลวงพ่อ: อันนี้อันหนึ่งนะ นี่ทำความสงบของใจ เพราะโยมถามบ่อยว่าเวลาเราจะใช้ปัญญา จะใช้ปัญญาอย่างไร ถ้าจิตมันสงบแล้วเราออกมาใช้ปัญญาบ้าง มันจะกลับไปให้การปฏิบัติของเราง่ายขึ้น เพราะการใช้ปัญญา คนเรานี่ คนเราปัญญาคือเข้าใจเรื่องนั้น กับคนที่ไม่เข้าใจเรื่องนั้นมันต่างกันไหม การใช้ปัญญาคือเราเข้าใจ เข้าใจเรื่องสภาพจิตของเรา จิตของเราควรเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ เรามีปัญญาของเรา แต่ถ้าคนไม่เข้าใจเลย มันจะไม่มีปัญญาอันนี้ มันจะไม่ได้มากลั่นกรองตรงนี้ มันก็ต้องอย่างนั้น
ถาม: แล้วพอมันเป็นอย่างนี้ซ้ำๆ เราก็เบื่อ พอเราเบื่อปุ๊บ ก็มันเหนื่อยมันล้า.....
หลวงพ่อ: ไปซ้ำๆ นี่ เราเปลี่ยนอุบาย
ถาม: พอใจมันไหวปุ๊บ เรารู้จักสมาธิเลย แล้วไปเปลี่ยนด้วยการเดินจงกรมเลย อันนี้เป็นการเหมือนกับเราชกมวยไม่ครบยก
หลวงพ่อ: ก็ได้ ถ้าเราไม่หนี ถ้าเดินจงกรม แล้วกลับมานั่งใหม่ ประสาเรานะ ตรงนี้ต้องผ่าน ถ้าไม่ผ่านจิตเรามันต้องสงบมากกว่านี้ นี่คืออุปสรรคที่ขวางหน้าไว้ ต้องผ่าน ที่นี้การผ่าน คำว่าผ่านนะคือทะลุความสงสัยนี้เข้าไป ความเจ็บปวดนี้จะไม่มี แต่ความเจ็บปวดเห็นไหม เวลาเราลงได้เห็นไหม มันขณะนั้น ถ้าแก้มันไปเรื่อยๆ ค่อยๆ แก้มันไปเรื่อยๆ อุปสรรคใครอุปสรรคมัน ย้อนกลับไปที่กรรมเก่ากรรมใหม่ ของใครของมัน
ถาม: แล้วเราพิจารณาไป เกิดตรงนี้ แล้วมันก็ดับตรงนี้ แล้วมันก็เกิด
หลวงพ่อ: แน่นอน เป็นอย่างนั้น
ถาม: แล้วเราก็เหนื่อย แล้วเราก็ เออ แค่นี้ หมดแรงแล้ว มันก็เหมือนกับเราแพ้ฟาวส์
หลวงพ่อ: ไม่ฟาวส์หรอก ไม่ฟาวส์ตรงที่เราทำมันนั่นแหละ ไอ้นี่เพียงแต่มันไม่ก้าวหน้าไง ส่วนใหญ่แล้วพอจิตมันตก สิ่งที่มันเป็นอุปสรรค เขาเรียกว่ามันแผ่นเสียงตกร่องนี่ เพราะจิตมันเข้าถึงจุดนี้ปั๊บ อาการนี้จะเกิด แต่ถ้าเราชำระตัวนี้ผ่านไปแล้ว จบ!
ถาม: ถ้าเราแก้เกมด้วยการเดินจงกรมเพียงอย่างเดียว...
หลวงพ่อ: มันไม่ผ่าน แต่ถ้ามันผ่านนะ พอมันผ่านปั๊บนะ อันนี้ไม่มีแล้ว หายไปเลย จะหายไปเลย ถ้าจิตมันดีแล้ว ถ้ามันหายไปเลย เราก็ใช้ปัญญาแก้ไขได้ อันนี้อันหนึ่งนะ เดี๋ยว
ถาม: ๒. การจะเข้าถึงจุดพลัง การจะเข้าถึงจุดหลัง ต้องผ่านภวังค์ก่อน ใช่หรือไม่คะ
หลวงพ่อ: จุดอะไรคนเขียนนี่ จุดพลังอำนาจ ใช่ ต้องผ่านภวังค์ไปก่อน ใช่ ถ้าภวังค์มันกั้นอย่างที่ว่านี่ อย่างสมาธินี่ ถ้าผ่านภวังค์เข้าไปจิตมันก็มีเป็นสมาธิของมันเห็นไหม ถ้ามีสมาธิของมัน นี่มันก็นี่ ถ้าพลังอันนี้ ถ้าเข้าสมาธินะ ฤๅษีชีไพรก็เหาะเหินเดินฟ้าได้ เพราะอะไร เพราะจิตมันเข้าถึงจุดนี้แล้วมันมีกำลังของมัน มันเปรียบเทียบนะ ถ้าเราทำสมาธิจิตเราสงบได้ มันจะมีความสุข นี่คือพลังของมัน แต่ถ้าจิตเราไม่เข้าสมาธิ เราก็ว่าเป็นความว่างๆ ความเข้าใจของเรา มันก็เหมือนสามัญสำนึกปกติของเรานี่ ออกมาแล้วจิตไม่มีกำลังเห็นไหม เวลาจิตเข้าสมาธิ เราจะบอกว่ามีกำลัง พอมีกำลังปั๊บนี่ ถ้ามันมีกำลังเราจะหันไปพิจารณาอะไรก็แล้วแต่ ถ้าจิตเราเข้าสมาธิแล้วนะ เราจะมองโลกนี่ โอ้โหย มันมีความสุขรื่นเริงไปหมดเลย แต่ถ้าจิตเราทุกข์ยากนะ อะไรก็ขัดหูขัดตาไปหมดเลย ถ้าจิตมันเข้าไปถึงสมาธิแล้วนี่ ความมุมมองมันจะออกไปเป็นอย่างนั้น ฉะนั้นเราถึงใช้คำว่ามันมีกำลัง มันมีอำนาจ ฉะนั้นอำนาจอย่างนี้ สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ คำว่าเข้ามีกำลัง แต่เราออกมาพิจารณานี่ นี่คือปัญญา ปัญญานี้ได้จากกำลังอันนี้ ถ้าไม่มีกำลังอันนี้ ปัญญาอย่างนี้จะไม่เกิด มันจะเกิดจากสัญญาที่เราจำมันอยู่นี่ กี่ร้อยปี กี่ปีกี่ชาติก็มีปัญญาอย่างนี้ แต่ถ้าจิตสงบแล้วนะ ออกไปพิจารณาแล้วปั๊บมันเกิดกำลังอันนั้น เกิดพลังอันนั้นนะ มันจะรู้รสของพระธรรมเลย เหมือนกับทุกคนคิดว่าได้ดื่มน้ำ แต่ไม่เคยได้ดื่มเลย เพราะน้ำไม่มี แต่มีบุคคลคนหนึ่ง ได้แก้วน้ำมา มีน้ำเต็มแก้ว แล้วได้ดื่มน้ำนั้น อู้หู มันซาบซึ้งต่างกัน จิตถ้าเป็นสมาธิแล้ว ถ้ามันพิจารณาแล้ว คำว่าพลังๆ คือมันได้ดื่มน้ำนั้น มันมีกำลังเพราะมันได้ดื่มน้ำนั้น มันได้รสชาติอันนั้น นี่ไง สันทิฏฐิโก นี่ปัจจัตตัง ถึงแบบว่าพวกนี้มั่นใจมาก ต้องผ่านภวังค์ ใช่ ตัวภวังค์ ถ้าภวังค์มันไม่มีกำลังอยู่แล้ว ต้องผ่านภวังค์เข้าไป นี้ภวังค์ก็อย่างที่ว่านี่ ต้องค่อยๆ แก้ไป การจะแก้ไขภวังค์ แล้วพอผ่านเข้าไปจิตจะมีความอย่างที่ว่าจิตสงบๆ จะมีความสุข อันนี้มีความสุข อันนี้ตอบแค่นี้ เนาะ
ถาม: (ไม่ได้ยินเสียงผู้ถาม)
หลวงพ่อ: ไม่ ไม่ อ๋อ ฌาน ตรงนี้หลวงตาจะพูดอย่างนี้นะ โดยตำรามันก็เขียนไว้อย่างนั้น มีสมาธิ มีฌาน แต่ถ้าเวลาเราตอบปัญหานะ เราจะบอกว่าสมาธิกับฌานนี่เป็นตัวเดียวกัน คือว่าแทนกันได้ แต่ความจริงแทนไม่ได้ สมาธินี่ เราจะบอกว่าพระป่าเราที่ทำสัมมาสมาธิ คือต้องการความสงบของใจ ถ้าใจเรามีกำลัง แต่ถ้าเข้าถึงฌานนี่ พอเข้าฌานนะ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌานนี่ คำว่าเข้าญาณแล้วมีกำลังนะ เวลาเข้าปฐมฌาน มันเหมือนกับอัดกำลัง มันรีไซเคิลเห็นไหม ๑ ๒ ๓ ๔ ตั้งแต่ปฐมฌาน ถึงจตุตฌาน อากาสานัญจายตนะ นี่ มันเป็นรูปฌานกับอรูปฌาน รูปฌานกับอรูปฌาน มันจะเข้า ๑ ๒ ๓ ๔ แล้วขึ้นอรูปฌาน ๑ ๒ ๓ ๔ แล้วก็ถอยลงมา แล้วก็ขึ้นไป ถอยลงมา การถอยลงมามันจะอัดให้จิตมีกำลังมาก พอจิตมีกำลังมากนะ ทำอะไรได้หมดเลย อันนี้พูดถึงฌานนะ อันนี้พูดถึงสมาธิ สมาธิไม่ใช่ฌาน เพราะสมาธิไม่มี ๑ ๒ ๓ ๔ ไง สมาธิเป็นสมาธิ ตัวสมาธิคือจิตตั้งมั่น พอจิตตั้งมั่น จิตมีความสุขของเขา เพราะสัมมาสมาธิถ้าออกมาใช้ปัญญา ออกมาใช้วิปัสสนา หลวงตาท่านถึงติดตรงนี้มากไง หลวงตาท่านจะบอกว่า ไอ้ฌานๆ เฌนๆ นี้อย่ามาพูดกับเรานะ เพราะไอ้คำว่าฌานๆ ไอ้พวกฌานนี้นะ มันจะมาเกี่ยวกับตรงนี้ แล้วถ้าคนไปทำนะ ถ้าคนมาพิสูจน์ตรงนี้นะ พอทำฌานนี่อย่างที่โยมพูดถูกต้องเลย มันจะมีกำลัง ฌานคือการส่งออก ฌานคือกำลังที่ออกรู้ นี่ที่ว่าจิตส่งออก ที่ปฏิบัติแล้วไม่ได้ผล ไม่ได้ผล เพราะไปเข้าฌานกันนี่ไง นี้สัมมาสมาธินี่ไม่ใช่ฌานนะ เพียงแต่ว่าถ้าบอกว่าไอ้นี้เป็นสมาธินะ อันนี้เป็นฌานนะ เราต้องพูดอีกก่อนครึ่งวัน กว่าจะได้เทศน์ไง เราเลยบอกว่า เออ! ฌานก็ได้ สมาธิก็ได้ แต่ความจริงไม่ใช่ ให้มันใช้แทนกันก่อน ฌานไม่ใช่สมาธิ ถ้าเป็นฌาน ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุฌาน อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ นิโรธสมาบัติ ย้อนกลับ มันเหมือนรีไซเคิลนะ มันเหมือนกับจรวดเห็นไหม ต้องอัดพลังงานของมันเข้าไป เพื่อจะขับดันมันออกไป ขับดันจรวดนั้นออกจากแรงดึงดูดของโลก นี่ถ้ามีฌาน ถ้าพูดเรื่องฌาน เดี๋ยวจะเทศน์เรื่องฌานอีกรอบ นี่เพียงแต่โยมยกขึ้นมาเรื่องฌานกับสมาธิ นี้พูดเรื่องญาณกับสมาธิ เราถึงย้อนไปเรื่องนี้ไง ฌานคือการเพ่ง เพ่งให้เกิดเห็นไหม ขยายส่วนแยกส่วน อันนี้ของเขานะ ไอ้เรื่องฌานสมาบัติมันเป็นความที่มหัศจรรย์พอสมควร เราถึงกล้าพูดอย่างนี้นะ เรากล้าพูดว่า ถ้าใครทำฌานสมาบัติ แล้วได้ฌานสมาบัติ คนที่ได้ฌานสมาบัติส่วนใหญ่แล้วจะบอกว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ เพราะมันมหัศจรรย์มาก แล้วติด นี่ไง ที่ว่าหลวงตาติดสมาธิ ๕ ปี ก็ติดตรงที่นึกว่าเป็นนิพพาน พอคนไปเข้าฌานนี่นะ ถ้าได้สมาบัติ ๘ เห็นไหม แต่เราถึงบอกพระพุทธเจ้าเวลาเทศน์ ถึงบอกว่าพระพุทธเจ้านี่สุดยอดมากเลย ไปฝึกกับอาฬารดาบสได้สมาบัติ ๘ อาฬารดาบสบอกว่า อู้... เป็นอาจารย์เหมือนเรา คือว่าสิ้นกิเลสแล้วไง พระพุทธเจ้าไม่เอา พระพุทธเจ้ามีสติปัญญา แต่อย่างพวกเรานี่นะ พอไปทำฌาน ๘ นะ แล้วมีคนบอกว่า โอ๊ย! นี่เป็นพระอรหันต์นะ ไม่ต้องเขาบอกมันก็เชื่ออยู่แล้ว แล้วยังมีคนบอก มีคนรับรองด้วยนะ ไป ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เลย แล้วเวลามันเสื่อม พวกนี้เสื่อมนะ เพราะอะไร พวกนี้มันอยู่ที่พุทโธๆ อยู่ที่การท่อง อยู่ที่คำบริกรรม ไอ้ฌานสมาบัตินี่ก็เหมือนกัน อยู่ที่เราฝึกขึ้นมา แล้วมันเสื่อมได้ พอเสื่อมขึ้นมานี่ถอยกูดๆ เลย แล้วพอทำนี่ทำยาก ฉะนั้นเรื่องฌานกับสมาธิ ถ้าจะให้แยกแล้ว แยกอย่างนี้เลย ฌานคือพลังงานที่ส่งออก สมาธิคือสะสมตัวตั้งมั่น ฉะนั้นเวลาพูดไปถึงพวกเกจิอาจารย์ เขาถึงไม่ทำสมาธิกัน เขาถึงทำฌานกัน เขาทำฌานสมาบัติปั๊บ มีการเพ่ง เพ่งเลย อาจารย์... อยู่ที่ผาลาดน่ะ ท่านจะมีตะกรุด ลูกศิษย์หลวงปู่ชอบนะ แต่นี่ท่านทำของท่านเอง ท่านอยู่สุขสบาย แล้วท่านก็ทำของท่าน ท่านเพ่งให้ตะกรุดนี่นะมันหมุนได้รอบบาตร ต้องเพ่งขนาดนั้นเลย นี่ส่งออก เพ่งด้วยกำลังของจิต แล้วพอได้ตะกรุดนั้นนะ ท่านไม่ทำไว้แจกใครนะ ท่านเอาตะกรุดนั้นไปผูกคอหมา นี่หมามันก็วิ่งเล่นอยู่ในป่า หมาวัดท่านนะ ที่นี้พวกพรานป่าเขาไปยิงสัตว์ไง พอยิงไปๆ หมาวิ่งผ่านมายิงไม่ออก ยิงอย่างไรก็ยิงไม่ออก แล้วจะมาขอ อาจารย์ท่านไม่ให้หรอก ถ้าอยากได้นะต้องไปจับหมาตัวนั้น ปลดจากคอหมาตัวนั้น ท่านไม่ให้ใครหรอก นี่ฌาน การเพ่งเห็นไหม แต่ตัวสมาธิ พวกเกจิอาจารย์เขาจะทำปลุกเครื่องรางของขลังกัน แต่พระป่าเรานี้จะปลุกหัวใจที่มันหลับใหล ให้มันตื่นขึ้นมา ให้มาเพื่อทำประโยชน์กับตัวเอง นี้คือสมาธิไม่ใช่ฌาน มีอีกไหม ต่อ จบเนาะ ไม่มีอะไรเนาะ ใครมีอะไรอีกไหม จะได้พูดหลังไมค์ได้ไง จบเนาะ เอวัง